แต่ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ราคาที่ตลาดขายส่งทุเรียน “ตลาดเนินสูง” ต.เขาวัว อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับราคาก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เพราะผลผลิตทุเรียนช่วงปลายเดือนพฤษภาคมเริ่มลดลง ทำให้ราคาปรับขึ้น) เมษายน ผลผลิตทุเรียนออกมา 32% เดือนพฤษภาคม ผลผลิตออก 43% และมิถุนายนเหลือ 25%
นอกจากปริมาณผลผลิตแต่ละเดือน ที่ทำให้ราคาทุเรียนผันผวนแล้ว ทุเรียนไทยกำลังประสบปัญหารุมเร้าทั้งของเก่าและใหม่ที่กระทบทั้งราคาและการส่งออก
ประเด็นน่ากังวลขณะนี้ คือสาร BY2 (Basic Yellow 2) เป็นสีย้อมสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม การผลิตกระดาษ สิ่งทอ และเครื่องหนังที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และสารแคดเมียม (Cadmium) เป็นโลหะหนักที่พบในดิน น้ำ และอากาศ โดยสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน หรือการหายใจเอาฝุ่นละอองที่มีแคดเมียมเข้าไป
นอกจากนี้ข่าวทุเรียนแกะเนื้อจากเวียดนามเข้ามาประเทศไทย) แต่ข่าวเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 หน่วยงานไทยระบุว่าเป็นการนำเข้าถูกต้องตามสิทธิใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีอากร FORM D มีใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย่างไรก็ตามเกษตรกรและผู้ประกอบการทุเรียนไทยพยายามปรับตัว เพื่อไม่ให้ถูกแบนจากตลาดจีน)
ผมมีโอกาสไปเก็บข้อมูลทุเรียน “สวนแม่น้ำภูเขา (River Mountain)” ที่ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ของคุณวิสันต์ สินธุพัฒน์ (คุณพ่อ) และสุพเจตน์ สินธุพัฒน์ (ลูกชาย) และวชระวิชญ์ สินธุพัฒน์ (ลูกชาย) มีการทำทุเรียนอินทรีย์ บนพื้นที่ 1,000 ไร่ ปลูกทุเรียนหมอนทอง (อายุ 9 ปี) และมูซังคิง (อายุ 8 ปี)
โดยมองว่าจากปัญหาที่ทุเรียนไทยที่กำลังประสบ ทางออกต้องไปในแนวทาง “ทุเรียนอินทรีย์” เน้น “ขายผู้บริโภคจีนที่มีกำลังซื้อสูง และรักษ์สุขภาพ” ขณะนี้กำลังทำตลาดในมณฑลฟูเจี้ยน ปัจจุบันจังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 4 แสนไร่ (2567, สศก.) ให้ผลผลิตมากกว่า 5 แสนตันต่อปี เป็นสวนทุเรียนอินทรีย์ ไม่ถึง 1%
การทำสวนทุเรียนอินทรีย์ของสวนคุณวิสันต์ สินธุพัฒน์ มี 4 วัตถุประสงค์หลักคือ ต้องการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ ตอบโจทย์การรักษ์สุขภาพของผู้บริโภคและผู้ปลูก รวมไปถึงแปรรูปทุเรียน ปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตทุเรียนปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 40 บาทต่อ กก. (เพิ่มจากปี 2566 ที่ 30 บาท/กก.) แบ่งออกเป็นโครงสร้างต้นทุนคือ สัดส่วนค่าจ้าง 36% ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง 40% และที่เหลือเป็นต้นทุนอื่น ๆ
หลังจากหันมาทำสวนทุเรียนอินทรีย์ สามารถลดต้นทุนในส่วนของค่าปุ๋ยเคมี และค่ายา ลงไปมากกว่า 30% ด้วยวิธีการลดจาก 2 ปัจจัยหลักคือ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่ใช้ “ดินขี้ไส้เดือน” หรือ “มูลไส้เดือน” แทน ส่วนยาฆ่าแมลงใช้ “น้ำหมักใบทองหลาง” ซื้อมา 20 บาทต่อ กก. นำมาหมักในช่วงเวลาหนึ่ง ต้นทองหลางเป็นเสมือน "พี่เลี้ยงทุเรียน" หรือ “แม่นมทุเรียน”
เมื่อใบแก่ร่วงลงดินหรือร่องน้ำในสวน จะถูกหมักย่อยสลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ รากสามารถดึงไนโตรเจนจากอากาศ มาสะสมไว้ในดิน ทำให้ดินรอบต้นทุเรียนมีไนโตรเจนเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ เป็น “ปุ๋ยธรรมชาติอย่างยั่งยืน”
สำหรับการเพิ่มรายได้ให้กับสวนทุเรียย์อินทรีย์ ผู้บริโภคชาวจีนยินดีซื้อในราคาที่สูงขึ้นอีก 20% (มากกว่าราคาทุเรียนทั่วไป) ซึ่งราคาจะไปใกล้เคียงกับราคาทุเรียนมูซังคิงของมาเลเซียในตลาดจีน ส่วนการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุเรียน ที่ไม่เฉพาะขายสดอย่างเดียว
สวนแห่งนี้ ได้เริ่มพัฒนาการแปรรูปทุเรียนเป็น “เหล้าทุเรียน” หรือ “Durian Wine หรือ Durian Sweet Wine” ที่ผลิตด้วยต้นทุนเพียง 400 บาท แต่ขายขวดละ 2,000-2,500 บาท (750 ml) ภายใต้แบรนด์ชื่อ “Durelle”
ในมาเลเซียมีเหล้าที่ผลิตจากมูซังคิงหลายแบรนด์มาก เช่น Mujestic Musang King Durian Liquer เป็นต้น ต่อไปก็คงจะได้เห็นเหล้าจากทุเรียนที่ผลิตในไทย
นอกจากนี้ผมขอแนะนำว่า ให้นำเปลือกทุเรียนไปสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเพราะเปลือกทุเรียนสามารถทำเป็น ปุ๋ยอินทรีย์ สารต้านอนุมูลอิสระและเครื่องสำอาง (สารพอลิฟีนอล , polyphenol) บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ และพลังงานชีวมวล เป็นต้น
สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำเพื่อสร้างสวนทุเรียนอินทรีย์ไทยให้มากขึ้น คือ 1.ให้เงินวิจัยทุเรียนอินทรีย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น 2.สร้างกลุ่มชุมชนทุเรียนอินทรีย์ในพื้นที่ 3.สร้างตลาดเฉพาะกลุ่มทุเรียนอินทรีย์ทั้งจีนและต่างประเทศ ในอนาคต สวนแห่งนี้ จะกลายเป็น “สวนทุเรียน BCG จันทบุรี” ที่จับต้องได้ จากที่ปัจจุบันไทยมี “มะพร้าวน้ำหอม BCG ที่ราชบุรี” ทำสำเร็จแล้ว