ผมขอพาท่านผู้อ่านไปท่องอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย ในมิตินวัตกรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง “รถไฟลอยฟ้า” (Sky Train) ที่อู่ฮั่นพึ่งนำร่องใช้เมื่อไม่นานมานี้ ...
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเมืองอู่ฮั่นได้นำเอา “รถไฟรางเดี่ยวแบบแขวน” ออกมาทดลองวิ่งเป็นระยะทาง 800 เมตร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น
และเมื่อปลายเดือนกันยายน 2023 รัฐบาลอู่ฮั่น ก็ได้สร้างความฮือฮาเป็น “ข่าวใหญ่” ด้วยการเปิดให้สาธารณชนได้ทดลองใช้บริการรถไฟฯ ดังกล่าวในเชิงพาณิชย์เป็น “สายแรก” ของจีน
รถไฟฯ นี้มีชื่อว่า “กวางกู่” (Guanggu) หรือ “ออปติกส์ วัลเลย์ โฟตอน” (Optics Valley Photon) ซึ่งน่าจะได้ชื่อมาจาก “เขตพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งทะเลสาบตะวันออก” (East Lake High-tech Development Zone) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ออปติกส์วัลเลย์แห่งชาติจีน” (Optics Valley of China) ที่รถไฟฯ วิ่งผ่านพื้นที่นี้
ตอนที่มีผมโอกาสพาคณะไปทดลองนั่งรถไฟฯ นี้เพียงไม่ถึงเดือนหลังจากเริ่มเปิดให้บริการ ข้อมูลระบุว่า รถไฟฯ นี้วิ่งให้บริการค่อนข้างถี่ เฉลี่ยทุก 10 นาทีต่อเที่ยว ด้วยความเร็วสูงสุด 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง บางคนบอกว่าเพื่อให้ผู้โดยสารได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพได้มากขึ้น
ปัจจุบัน รถไฟฯ ให้บริการวันละ 12 ชั่วโมง ทำให้ผู้โดยสารสามารถชื่นชมบรรยากาศได้ทั้งเช้า-กลางวัน-เย็น-ค่ำ โดยไม่มีวันหยุด และสามารถจัดรูปแบบให้ยืดหยุ่นระหว่าง 2-6 ตู้ตามอุปสงค์ในการขนส่งผู้โดยสารที่แตกต่างกัน ซึ่งเท่ากับว่า รถไฟฯ นี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 220 คนต่อเที่ยว
ที่ล้ำสมัยอีกส่วนหนึ่งก็คือ กระบวนการเดินรถทั้งหมดตั้งแต่ออกวิ่งจนเข้าสถานี และเปิด-ปิดประตู ล้วนใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ไม่ต้องมีคนบังคับ
ขณะเดียวกัน วิธีการใช้บริการรถไฟฯ นี้ โดยรวมก็คล้ายกับของรถไฟใต้ดินที่ท่านผู้อ่านคุ้นเคย เพียงแต่หลังผ่านการตรวจบัตรโดยสารและสัมภาระด้วยเครื่องแบบอัตโนมัติแล้ว แทนที่จะลงบันไดเลื่อนสู่ด้านล่าง การใช้บริการรถไฟฯ นี้ ต้องย่างก้าวสู่บันไดเลื่อนขึ้นสู่ชานชาลาที่อยู่ด้านบนของสถานี
ภายใต้โครงการพัฒนาในภาพรวม เส้นทางรถไฟฯ นี้มีระยะทางทั้งสิ้น 26.7 กิโลเมตร และมีสถานี 16 แห่ง โดยในชั้นนี้ บริษัท ออปติกส์วัลเลย์ทราฟฟิก จำกัด (Optics Valley Traffic Co Ltd) เป็นผู้ดำเนินงานในระยะแรกของโครงการ ซึ่งวิ่งให้บริการเป็นระยะทางรวม 10.5 กิโลเมตร ระหว่างภูเขาจิ่วเฟิง (Jiufeng) และ ภูเขาหลงฉวน (Longquan) พร้อมสถานีย่อยที่เป็นจุดขึ้นลง 6 แห่ง
แต่ผมรู้สึกว่า รถไฟฯ นี้ถูกออกแบบเป็น “รถไฟท่องเที่ยว” เพื่อเอาไว้ชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบด้านที่งดงามและเขียวชะอุ่มของเมืองในด้านนี้ เพราะในชั้นนี้ เส้นทางให้บริการก็มีระยะทางไม่ไกล และไม่ได้ผ่านย่านชุมชนเมืองตอนในแต่อย่างใด (ย่านตัวเมืองมีรถไฟใต้ดิน และรถเมล์ประจำทางให้บริการอยู่แล้ว)
ขณะเดียวกัน ตลอดสองฟากฝั่งที่มีระยะทางยาวกว่า 10 กิโลเมตร ก็ผ่านสวนสาธารณะที่รัฐบาลท้องถิ่นลงทุนพัฒนาขึ้น โดยมีความกว้างข้างละ 300-400 เมตร ที่ถูกออกแบบให้มีลู่วิ่งและลู่จักรยานแบบต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน พร้อมลานกิจกรรมขนาดใหญ่เป็นระยะ
พอมองถัดออกไปจากสวนสาธารณะ ก็เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายรูปแบบอาคารสูง อาทิ ที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า และอื่นๆ
ในส่วนของ ELHTDZ ที่รถไฟฯ นี้วิ่งผ่าน ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวและฐานการผลิตสินค้าไฮเทคสำคัญของจีน กล่าวคือ “ทะเลสาบตะวันออก” หรือที่คนจีนเรียกกันว่า “ตงหู” นับเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในจีน ขณะที่ ELHTDZ ก็ได้รับการพัฒนาและยกระดับมาอย่างต่อเนื่อง นับแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1988 หรือเพียง 10 ปี หลังจีนเปิดประเทศสู่โลกภายนอก
ในปี 1991 คณะรัฐมนตรีจีนก็อนุมัติให้พื้นที่นี้เป็น “เขตพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคแห่งชาติ” แห่งแรก และใน 10 ปีต่อมา เขตฯ ก็ได้รับอนุมัติให้เป็น “ฐานอุตสาหกรรมออปโตอิเล็กทรอนิกส์ระดับชาติ” ทำให้เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องที่ใหญ่ที่สุด และเป็นศูนย์พัฒนาสําหรับอุตสาหกรรมเลเซอร์ที่สำคัญของจีน
ปัจจุบัน ELHTDZ มีขนาดพื้นที่รวม 518 ตารางกิโลเมตร และเป็นที่ตั้งของบริษัทไฮเทคชั้นนำของจีนและเทศจำนวนกว่า 5,000 แห่ง
อาทิ Changfei Fiber-Optical Cables ผู้ผลิตสายเคเบิ้ลใยแก้วนําแสงรายใหญ่ที่สุดในจีน Fenghuo Telecommunications และ Wuhan Research Institute of Post and Telecommunications ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านโทรคมนาคมทางแสงที่ใหญ่ที่สุดในจีน รวมทั้งยังมีผู้เล่นหลักของวงการเลเซอร์อย่าง HUST Technologies และ Chutian Laser อยู่ในเขตฯ นี้อีกด้วย
ELHTDZ มีประชากรถาวรอยู่ราว 500,000 คน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยกว่า 40 แห่ง ห้องปฏิบัติสําคัญของภาครัฐกว่า 20 แห่ง ศูนย์เทคโนโลยีวิศวกรรมแห่งชาติ 24 แห่ง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติอีกถึง 56 แห่ง
และยังมี “พื้นที่สาธิตนวัตกรรมอิสระแห่งชาติทะเลสาบตะวันออก” (East Lake National Independent Innovation Demonstration Area) จึงนับเป็นแหล่งรวบรวมบุคลากรเฉพาะทางชั้นนำของจีนและต่างชาติที่สำคัญของจีน
อุปสงค์ที่มีคุณภาพสูงดังกล่าว อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลท้องถิ่นออกแบบและก่อสร้างชุมชนย่านนี้โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้สวนสาธารณะที่ผมกล่าวถึงกลายเป็น “ปอด” ฟอกอากาศในพื้นที่ และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ “สีเขียว” แก่ผู้ที่อยู่อาศัยหรือผู้ที่มาใช้เวลาพักผ่อนในย่านนี้
ขณะเดียวกัน รถไฟฯ นี้ยังเป็นรูปแบบใหม่ของการขนส่งทางรถไฟในเมืองที่มีคาร์บอนต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ภายในห้องโดยสารของรถไฟฯ ก็ถูกออกแบบแตกต่างไปจากรถไฟใต้ดินทั่วไป เพราะรถไฟลอยฟ้านี้มีเก้าอี้ที่หันหน้าออกสู่หน้าต่างขนาดใหญ่ แถมที่พื้นก็ถูกดัดแปลงและใส่กระจกนิรภัยใสทดแทนเพื่อให้ผู้โดยสารสามารถส่องดูพื้นที่ด้านล่างได้
นั่นหมายความว่า ผู้โดยสารสามารถชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบด้านได้ 3 มิติแบบ 270 องศา ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารได้รับประสบการณ์รูปแบบใหม่ และส่งผลให้ “รถไฟลอยฟ้า” นี้ กลายเป็นจุดท่องเที่ยวใหม่ และทำให้ย่านเมืองใหม่ในย่านนี้ของเมืองอู่ฮั่นพลอยเป็นรู้จักในวงกว้างอีกด้วย
แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่กลัวความสูง ก็อาจหลีกเลี่ยงพื้นที่ส่วนนี้ โดยสามารถเลือกพื้นที่ปกติ ที่มีที่นั่งแบบหันหน้าเข้าหากัน และไม่มีพื้นกระจกได้
ยิ่งพอดูสนนราคาค่าบริการตลอดสาย ซึ่งอยู่ที่ 30 หยวน ผมก็รู้สึกว่า “แพงกว่า” บริการขนส่งสาธารณะโดยทั่วไปในหัวเมืองของจีน ที่เราใช้เงินไม่ถึง 10 หยวนก็สามารถเดินทางข้ามเมืองได้แล้ว
แต่การให้บริการรถไฟฯ สายนี้ในระยะแรก ก็ถือประสบความสำเร็จ เพราะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศได้เป็นอย่างมาก นอกจากกลุ่มผู้ประกอบการไทยที่ผมไปด้วยแล้ว ผมสังเกตเห็นบริษัทท่องเที่ยวท้องถิ่นนำลูกทัวร์จากในและนอกเมือง เข้าไปใช้บริการอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
นอกจากนี้ โดยที่ใช้พื้นที่บนดินค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับเส้นทางรถไฟแบบดั้งเดิม รถไฟลอยฟ้านี้จึงลดอุปสรรคด้านการจราจรทางถนน และคนเดินเท้า เปิดโอกาสให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่บนดิน เพื่อการอื่นได้มาก อาทิ สนามหญ้า สวนดอกไม้ และ ต้นไม้ใหญ่
ฉากของรถไฟที่ห้อยอยู่ใต้ราง และแล่นผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็วในหนังไซไฟ ได้กลายเป็นความจริงในเมืองอู่ฮั่นแล้ว หากแวะเวียนไปอู่ฮั่นคราวหน้า ท่านผู้อ่านห้ามพลาดการไปทดลองนั่ง “รถไฟลอยฟ้าแบบแขวน” เส้นแรกของจีน
ยิ่งหากได้ไปในช่วงเดือนมีนาคม ก็อาจไปชื่นชมทุ่งดอกซากุระบานในบริเวณนอกเมืองกันได้ด้วยนะครับ ...