KEY
POINTS
ในวาระที่ประเทศไทยและประเทศจีนกำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568 นี้ เรามีโอกาสที่จะย้อนมองอดีต ทบทวนปัจจุบัน และมองไปยังอนาคตว่า “จีน” คืออะไรกันแน่ในสายตาของโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของคนไทยที่กำลังวางแผนอนาคตให้กับบุตรหลานของตน
หลายทศวรรษก่อนจีนอาจถูกมองเป็นประเทศกำลังพัฒนา ที่เต็มไปด้วยแรงงานราคาถูก และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกอย่างเดียว แต่วันนี้ จีนไม่ใช่แค่ฐานการผลิตของโลก หากแต่เป็น "ศูนย์การเรียนรู้แห่งอนาคต" ที่เทคโนโลยี วัฒนธรรม และ ภูมิปัญญาโบราณผสานกันอย่างน่าทึ่ง
ประวัติศาสตร์ของจีนมีอายุยาวนานกว่า 5,000 ปี ผ่านสงคราม ความรุ่งเรือง ความล่มสลาย และการฟื้นคืนชีพ การปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงศตวรรษที่ 20 ทำให้จีนต้องเริ่มต้นใหม่ทางสังคมและเศรษฐกิจ
และจากการปฏิรูปเปิดประเทศโดย เติ้ง เสี่ยวผิง ในปี 1978 จีนเริ่มเดินหน้าสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ในปัจจุบันจีนมี GDP ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่ตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น แต่คือ การที่จีนกำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ไม่ใช่แค่การผลิต แต่คือ การ “คิดค้นและสร้าง” ด้วยตัวเอง
ตัวอย่างเช่น DeepSeek AI ที่เปิดตัวในปี 2025 เป็นกรณีศึกษาสำคัญของการที่จีนสามารถพัฒนา AI ได้เทียบเท่ากับมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่ถูกดาวน์โหลดสูงสุดในโลก
นี่ไม่ใช่แค่ความสำเร็จของเทคโนโลยี แต่เป็นเครื่องหมายว่า จีนได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้ตามมาเป็นผู้ท้าชิงระดับโลกอย่างเต็มตัว
เราจะเตรียมลูกหลานให้พร้อมกับโลกใบใหม่ ที่จีนมีบทบาทมากขึ้นอย่างไร จะให้พวกเขาเป็นแค่ผู้ใช้เทคโนโลยีจากจีน หรือ จะให้พวกเขาเข้าใจเบื้องหลังเทคโนโลยีนั้น อย่างลึกซึ้งและนำแนวคิดมาพัฒนาต่อยอด
การศึกษาในจีนไม่ได้หมายถึงเพียงการเรียนภาษา แต่เป็นการเข้าใจระบบความคิด วัฒนธรรม และ ภูมิทัศน์ทางนวัตกรรม ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ระบบการศึกษาที่เน้น STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) อย่างเข้มข้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งคุณค่าทางจริยธรรมแบบขงจื้อ เช่น ความกตัญญู ความอดทน และความกลมกลืน
วัฒนธรรมจีนไม่มองนวัตกรรมเป็นแค่ “ผลิตภัณฑ์เชิงเทคโนโลยี” แต่มองเป็นผลลัพธ์ของการฝึกฝน การคิดวิเคราะห์ และระบบความสัมพันธ์ในสังคม บริษัทเทคโนโลยีของจีนหลายแห่ง เช่น Huawei, Tencent หรือ Alibaba ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ลงมือทำ ค่อยๆ พัฒนา สร้างจากรากฐานที่มั่นคง” ซึ่งต่างจากแนวคิด "disruption" ที่ฉาบฉวย
ภาษาจีนกลาง (Mandarin) เป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ประมาณ 1.4 พันล้านคน และกำลังกลายเป็นภาษาธุรกิจสำคัญ การเรียนภาษาจีนไม่ใช่แค่การเพิ่มทักษะภาษา แต่เป็นการเปิดประตูสู่การเข้าใจตลาด เทคโนโลยี และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง
มหาวิทยาลัยจีนจำนวนมาก ยังเปิดกว้างให้กับนักศึกษาต่างชาติจากทุกมุมโลก พร้อมทุนการศึกษาจากรัฐบาล การไปเรียนในจีนไม่ใช่เพียงการเรียนในห้องเรียน แต่คือการได้สัมผัส “วิถีชีวิต” ของสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
เช่น เมืองอัจฉริยะที่ใช้ AI ควบคุมการจราจร สิ่งแวดล้อม และบริการสาธารณะ ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด ที่ประชาชนใช้มือถือจ่ายแทบทุกอย่าง ระบบรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมเมืองใหญ่ด้วยความเร็ว และสาธารณูปโภคที่เชื่อมโยงด้วยดิจิทัล สิ่งเหล่านี้คือ “ปัจจุบัน” ของจีน และจะเป็น “อนาคต” ของโลกในเวลาอันใกล้
โลกกำลังหมุนเร็วขึ้น และจีนคือเครื่องยนต์ตัวใหญ่ที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลง การได้สัมผัสกับสังคมที่ผสมผสานวัฒนธรรมกับเทคโนโลยีอาจเปลี่ยนวิธีคิด ไม่ใช่แค่ภาษา ไม่ใช่แค่วัฒนธรรม แต่คือวิธีการมองโลกในแบบที่ก้าวทันอนาคต
ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอยากรู้จักจีนจากข่าว หรือ อยากให้เข้าใจจีนจากประสบการณ์จริง จีนไม่ใช่ประเทศไกลตัว แต่คือ ‘โอกาสใกล้มือ’ สำหรับคนไทยที่กล้าเปิดใจ เรียนรู้ว่าจีนพัฒนาเทคโนโลยีแต่คงไว้ซึ่งรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมได้อย่างไร
บทความ โดย... ผศ.ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการใหญ่ เอเอฟเอส ประเทศไทย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4136