ส่อทุจริต-ไม่น่าเชื่อถือ ไม่อาจเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ

08 ส.ค. 2564 | 00:19 น.

ส่อทุจริต-ไม่น่าเชื่อถือ ไม่อาจเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ : คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครอง ​โดย นายปกครอง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,703 หน้า 5 วันที่ 8 - 11 สิงหาคม 2564

ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ...อาจทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหลายรายขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่สามารถชำระหนี้ได้ บางรายต้องปิดกิจการลง หรือแม้กระทั่งถูกฟ้องล้มละลาย เพื่อเข้าสู่กระบวนการยึดและอายัดทรัพย์ นำมาขายทอดตลาดแบ่งชำระหนี้ให้ กับเจ้าหนี้

 

แต่มีอีกกระบวนการหนึ่งคือ การยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลาย เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างองค์กร กระบวนการทำงาน และแผนธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดเล็ก (SMEs) ที่มีหนี้ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ และเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดในการฟื้นฟูกิจการดังกล่าว

 

ศาลจะตั้ง “ผู้ทำแผน” เพื่อทำหน้าที่จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ โดยผู้ทำแผนจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด 

 

คดีที่นำมาเล่าในวันนี้ ... เป็นเรื่องของบริษัท เอ (นิติบุคคล) ได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ครั้งที่ 3 ต่อคณะกรรมการพิจารณาผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ แต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากบริษัท เอ ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์(สำนักงาน ก.ล.ต.) กล่าวโทษ กรณีร่วมกับผู้อื่นทุจริตยักยอกเงิน และ หุ้นบริษัท บี ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัท ซีทำให้บริษัทดังกล่าวได้รับความเสียหาย และแจ้งเท็จในคำขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้ทำแผน ครั้งที่ 3 โดยยืนยันว่าไม่เคยมีประวัติได้รับการร้องเรียนในทางเสื่อมเสีย รวมทั้งการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตแต่ประการใด 

 

บริษัท เอ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่รัฐมนตรีฯ ไม่มีคำสั่งภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสืออุทธรณ์

 

ต่อมาบริษัท เอ ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำแผนใหม่อีกครั้ง แต่คณะกรรมการพิจารณาผู้ทำแผนฯ ยังคงมีมติไม่อนุญาตเนื่องจากเห็นว่าขาดคุณสมบัติของผู้ทำแผนตามข้อ 14 (4) (5) ของกฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียนและการกำหนดคุณสมบัติผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ พ.ศ. 2545 

 

บริษัท เอ ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อรัฐมนตรีฯ ซึ่งต่อมามีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ จึงยื่นฟ้องคณะกรรมการพิจารณาผู้ทำแผนฯ และรัฐมนตรีฯ ต่อศาลปกครองขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เป็นผู้ทำแผน และให้ออกคำสั่งอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทำแผนได้

 

ส่อทุจริต-ไม่น่าเชื่อถือ ไม่อาจเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ

 

โดยมีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท คือ กฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียนและ การกำหนดคุณสมบัติผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ พ.ศ. 2545 ข้อ 14 กำหนดว่า นิติบุคคลซึ่งจะเป็นผู้ทำแผนต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ 

 

... (4) ผู้บริหารของนิติบุคคลนั้นมีจริยธรรมและมีความสามารถหรือมีประสบการณ์ในธุรกิจที่จะดำเนินการมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติเคยถูกไล่ออก ปลดออก ให้ออก ต้องคดี เนื่องจากกระทำทุจริต ทำงานอันส่อไปในทางไม่สุจริต หรือบริหารงานหรือ กระทำการอื่นใดอันเป็นเหตุให้เกิดการกระทำความผิดตามกฎหมายหรือที่เป็นความผิดร้ายแรงอันแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบ หรือขาดความรอบคอบในการบริหารงาน (5) มีหลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานที่รัดกุมและเชื่อถือได้

 

คดีมีประเด็นปัญหาว่า คำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีจดทะเบียนเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?

 

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยสรุปได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในคำขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้ทำแผนและคำขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำแผน โดยยืนยันว่าไม่เคยมีประวัติได้รับการร้องเรียนในทางเสื่อมเสีย รวมทั้งการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตอันถือเป็นการจงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการที่ตนถูกกล่าวโทษโดยสำนักงาน ก.ล.ต. 

 

ประกอบกับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวโทษโดยสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าได้ร่วมกับผู้อื่นทุจริตยักยอกเงินและหุ้นบริษัท บี แม้จะอยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังไม่มีการฟ้องเป็นคดีต่อศาล แต่การพิจารณาออกใบอนุญาตเป็นผู้ทำแผนตามข้อ 14 ของกฎกระทรวงดังกล่าว เป็นการดำเนินการคนละส่วนแยกต่างหากจากการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 

 

กล่าวคือ หากมีพฤติการณ์เพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้บริหารของนิติบุคคลมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แม้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เป็นเพียงข้อสงสัยโดยการกล่าวโทษจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ ก็ย่อมถือเป็นความบกพร่องอันเป็นเหตุที่จะเข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ 14 (4) ของกฎกระทรวงดังกล่าวได้ 

 

แม้ในส่วนของคดีอาญาจะไม่มีคำสั่งฟ้อง หรือ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องก็ตาม และไม่จำต้องรอผลในคดีอาญาให้ถึงที่สุด การที่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวโทษว่าประพฤติทุจริตดังกล่าวจึงย่อมแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริหารของผู้ฟ้องคดี ว่ามีการดำเนินงานที่ส่อไปในทางทุจริตและขาดความน่าเชื่อถือ อันถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้ทำแผนตามข้อ 14 (4) ดังกล่าว คำสั่งที่พิพาทจึงชอบแล้วพิพากษายกฟ้อง (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 808/2563)

 

คดีนี้ ... เป็นอุทาหรณ์สำหรับนิติบุคคลที่ยื่นขอใบอนุญาตเป็นผู้ทำแผน ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำแผนเพื่อฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้

 

กฎหมายจึงมีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้บุคคล หรือนิติบุคคลซึ่งมีความน่าเชื่อถือและมีประวัติที่ดีในการประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน หรือบัญชี หรือกฎหมายเข้ามาดำเนินการจัดทำแผนซึ่งกรณีถูกกล่าวโทษว่ามีพฤติกรรมในทางทุจริต ไม่ว่าจะมีการฟ้องเป็นคดีอาญาหรือไม่ อาจถือว่าเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการได้ 

 

หมายเหตุ : ต่อมาได้มีการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียนและการกำหนดคุณสมบัติผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ซึ่งผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้