จริงๆ แล้วการจัดให้มีการทำประชามติในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี David Cameron นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากในระหว่างการหาเสียงได้รับปากกับประชาชนว่าหากได้รับเลือกแล้วจะให้สิทธิแก่ประชาชนในการเลือกที่จะคงความเป็นสมาชิก หรือถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของ EU โดยในขณะนั้นรัฐบาลเองก็ไม่คิดว่าเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศ จะเลือกที่จะแยกตัวออกจาก EU เป็นผลทำให้สุดท้ายแล้ว David Cameron เองก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง
และแม้ว่า Theresa May จะขึ้นมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีแทน ทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่ ได้ประสงค์ที่จะแยกตัวตามผลโหวต เพียงแต่ต้องทำหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเพื่อที่จะพยายามเสนอให้เห็นข้อดีของการ แยกตัวออกมาทั้งที่ค้านต่อความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองก็ตาม
ปัญหาที่ Dr.Valerie ตั้งข้อสังเกตถึงการนำไปสู่การโหวตเพื่อแยกตัวออกจาก EU มีหลายประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรก คือปัญหาเรื่องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสม เพราะก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงในการทำประชามติรัฐบาลไม่ได้มีการให้ข้อมูลที่รอบด้านเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง UK และ EU อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ปัญหาหลักอีกประการนั้น น่าจะมาจากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เพราะประเด็นที่มีการนำเสนอข่าวหรือข้อมูลโดยส่วนใหญ่จะเป็นประ เด็นเรื่องงบประมาณทางด้านสุขภาพที่ UK ต้องจ่ายเข้ากองทุนใน EU ทำให้ประชาชนในประเทศเห็นว่าเป็นปัญหาที่จะกระทบต่อเรื่องงบประมาณทางด้านสุขภาพของตน
นอกจากนี้ก็จะเน้นไปที่เรื่องการที่ชาวยุโรปตะวันออกจำนวนมากได้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และปัญหาเรื่องความปลอดภัย โดยไม่มีการนำเสนอข้อมูลในมุมกลับที่แสดงให้เห็นว่า UK ได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการที่ยังคงสถานะความเป็นสมาชิกของ EU ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการได้รับเม็ดเงินในการลงทุนจำนวนมหาศาลเข้ามาในประเทศ รวมถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยนโยบายระดับประเทศเท่านั้นเช่น ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นต้น เมื่อชุดข้อมูลที่ได้รับมีจำกัด คะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งจึงเลือกที่จะแยกตัวออกจาก EU
ประเด็นต่อไปคือเรื่อง generations ที่มีผลต่อการลงคะแนน Dr. Valerie ตั้งข้อสังเกตว่า 75% ของผู้มาลงคะแนนที่มีอายุตํ่ากว่า 24 ปี และ 54% ของผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีเลือกที่จะยังคงสถานะความเป็นสมาชิก EU ในขณะที่เสียงโหวตที่มีความต้องการแยกตัวเป็นกลุ่มคนที่มีอายุเกินกว่า 50 ปี เหตุเพราะวิธีชีวิตของผู้คนใน UK ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี จะมีการเดินทางเข้าออกประเทศต่างๆ ในยุโรปเป็นปกติโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นผู้ที่เติบโตมาในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งเห็นว่าการผูกสัมพันธ์หรือมีกิจกรรมในทางระหว่างประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปแล้ว
นอกจากนี้ Dr.Valerie ยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่าความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาและสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการลงคะแนนในการทำประชามติ ดังจะเห็นได้จากสถิติที่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศได้ลงคะแนนเสียงเพื่อที่จะยังคงสถานะความเป็นสมาชิกของ EU ถึง 100%