การเดินทางแบบพึ่งพา "รถยนต์ส่วนตัว" ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการจราจรติดขัด มลพิษจากการปล่อยก๊าซคาร์บอน และต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ "Uber ออสเตรเลีย" จึงริเริ่มโครงการทดลอง "One Less Car" เพื่อค้นหาทางเลือกการเดินทางแบบยั่งยืน
โครงการดังกล่าวทดลองให้ชาวออสเตรเลีย 58 คนจากทั่วประเทศทิ้งการใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยได้รับเครดิตค่าใช้จ่ายรวมกว่า 1,350 เหรียญออสเตรเลียเพื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะ จักรยานไฟฟ้า และบริการแชร์รถของ Uber แทน ผลปรากฏว่า ผู้เข้าร่วมสามารถทดแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวได้เกือบทั้งหมด
การเดิน การขี่จักรยาน และการแชร์รถ กลายเป็นทางเลือกหลักที่ผู้เข้าร่วมใช้งานมากขึ้นถึง 4-5 เท่า โดยพบว่าจำนวนก้าวเดินของผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้น
พวกเขารายงานว่าได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงความพึงพอใจต่อชุมชนสูงขึ้นถึง 10% ขณะที่การใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 156% สำหรับรถไฟ และ 86% สำหรับรถโดยสาร
อย่างไรก็ดี ยังมีอุปสรรคบางประการ เช่น การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ รวมถึงความเชื่อของผู้คนที่ว่าการใช้รถยนต์คุ้มค่ากว่าทางเลือกอื่น แม้ในความเป็นจริงต้นทุนการเป็นเจ้าของรถจะสูงกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนยังคงพึ่งพารถยนต์
เพื่อลดการพึ่งพารถยนต์ในออสเตรเลีย Uber จึงเสนอแนวทางให้ผู้นำเมืองลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งสาธารณะให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ปรับปรุงคุณภาพและความน่าเชื่อถือ สร้างความตระหนักรู้ในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากรถยนต์ รวมถึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการรณรงค์อย่างเจาะจง
นอกจากนี้ ยังต้องมีแผนกลยุทธ์ระดับเมืองในการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนและการเดินทางไร้รถยนต์ ปฏิรูปนโยบายสาธารณะเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และลงทุนพัฒนาโครงการระบบคมนาคมขนาดใหญ่ระยะยาว เพื่อนำไปสู่การเดินทางที่ยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน
การริเริ่มโครงการ "One Less Car" ของ Uber เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่การเดินทางสีเขียว แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง