ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้สั่งให้สำนักงานกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง (สกนช.) ปรับลดเงินชดเชยนํ้ามันดีเซลลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคานํ้ามันดีเซลขายปลีกเกิน 30 บาทต่อลิตรได้ในเดือนเมษายน 2567 นี้ เพื่อเป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม กองทุนนํ้ามันฯ ยังต้องบริหารจัดการในการชดเชยนํ้ามันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอล และไบโอดีเซล ซึ่งอยู่ระหว่างรอนโยบายรัฐพิจารณาว่าจะขยายเวลา หรือยกเลิกการอุดหนุนนํ้ามันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ หลังจากระยะเวลาจะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 กันยายน 2567 นี้ ซึ่งหากยกเลิกการจ่ายเงินอุดหนุนไบโอดีเซล B100 ไปผสมนํ้ามันดีเซล B7 จะทำให้ต้นทุนลดลง 2.60 บาทต่อลิตร ช่วยลดภาระกองทุนนํ้ามันฯ แต่ผลที่ตามมาจะกระทบเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม การดูดซับปาล์มนํ้ามัน เกษตรกรสูญเสียรายได้ราว 3-4 หมื่นล้านบาท รวมถึงการช่วยลดการนำเข้านํ้ามันเชื้อเพลิงกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ทางออกของเรื่องนี้ สกนช. ซึ่งดูแลบริหารกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง กำลังเร่งศึกษาถึงผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการปรับตัวของกลุ่มเกษตรกรปาล์มนํ้ามัน เพื่อประกอบการพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียเสนอต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง (กบน.) ในการที่จะขยายระยะเวลาหรือยกเลิกการอุดหนุนนํ้ามันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยคำนึงถึงทุกภาคส่วนจะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการ สกนช. ชี้ให้เห็นว่า สกนช.เสมือนโซ่ข้อกลางระหว่างนโยบายคือรัฐบาลกับเกษตรผู้ปลูกปาล์ม และโรงงานอุตสาหกรรมผลิต B100 ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งสัญญาณให้กับภาคนโยบายว่า จะขยายระยะเวลาลดการอุดหนุนนํ้ามันมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ออกไปถึงปี 2569 ได้หรือไม่
เพื่อหาทางออกให้เกษตรกรจากความผันผวนของราคาปาล์มนํ้ามัน หากต้องยกเลิกการชดเชยของกองทุนนํ้ามันฯ ซึ่งแนวทางหนึ่งเป็นเรื่องของการนำนํ้ามันปาล์มแดงบริสุทธิ์ ไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง โดยร่วมมือกับอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ปาล์มนํ้ามันท่าสะบ้า จังหวัดตรัง
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการนำไบโอดีเซล B100 ที่ผลิตจากปาล์มนํ้ามันผสมเป็นนํ้ามันดีเซล B7 เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจหมุนเวียน ปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันราคาไบโอดีเซล B100 อยู่ที่ 37 บาทต่อลิตร เมื่อมาผสมเป็นนํ้ามันดีเซล B7 ทำให้ต้นทุนนํ้ามันดีเซลเพิ่มขึ้น 2.60 บาทต่อลิตร
ในอนาคตหากมีการยกเลิกการชดเชยไบโอดีเซล การผลิตนํ้ามันปาล์มแดง จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรได้ แต่ก็ยังไม่สามารถดูดซับปาล์มนํ้ามันส่วนเกินได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม นํ้ามันปาล์มแดง ถือเป็นผลผลิตจากปาล์มนํ้ามันที่มีมูลค่าสูง จำหน่ายได้ราคาดี 300-500 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับนํ้ามันปาล์มธรรมดาอยู่ที่ 50 บาทต่อลิตรเท่านั้น
รศ.ดร. หมุดตอเล็บ หนิสอ อาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ชี้ให้เห็นว่า นํ้ามันปาล์มแดงผลิตจากลูกปาล์มสดสีแดง ซึ่งมีสรรพคุณที่โดดเด่นส่งผลดีต่อสุขภาพ มีสารอาหารที่มีคุณค่าสูงมาก โดยเฉพาะมีสารเบตาแคโรทีน 13 ชนิดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณค่าสูงกว่ามะเขือเทศ 300 เท่า และสูงกว่าแครอท 15 เท่า และยังมีวิตามินอี ไม่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของเซลล์ที่เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดเนื้องอก และยังต่อยอดเป็นส่วนประกอบกลุ่มเวชสำอาง เครื่องประทินผิว ได้อีกด้วย
ในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ผลิตนํ้ามันปาล์มแดงธรรมชาติและต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยมีโรงงานต้นแบบอยู่ที่วิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ปาล์มนํ้ามัน ท่าสะบ้า จ.ตรัง หากมีการสนับสนุนให้ตั้งโรงงานกระจายไปทุกอำเภอจะสามารถรองรับการปลูกปาล์มได้ 2-3 พันไร่ คาดว่าจะดูดซับนํ้ามันปาล์มได้ถึง 30% จากปริมาณปาล์มนํ้ามันที่ผลิตได้ในภาคใต้ราว 16 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้ การผลิตนํ้ามันปาล์มแดงเป็นนํ้ามันปาล์มพรีเมียมที่ใช้เทคโนโลยีไมโครเวฟในกระบวนการผลิตทำให้มีต้นทุนตํ่า โรงงานที่ตั้งขึ้นใช้เงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ต่างจากโรงสกัดนํ้ามันปาล์มต้องลงทุนกว่า 200 ล้านบาท หรือโรงกลั่นนํ้ามันปาล์มก็ต้องลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท โดยทลายปาล์ม 100 กิโลกรัม ผลิตนํ้ามันปาล์มธรรมชาติได้ 12 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 500 บาท และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และยังสนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ BCG อีกด้วย
นางจันทร์เพ็ญ ชิดเชื้อ ประธานวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ปาล์มนํ้ามัน หมู่ 3 ตำบลท่าสะบ้า อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง สะท้อนให้เห็นว่า เกษตรกรประสบปัญหาผลปาล์มล้นตลาด จึงได้จดทะเบียนรูปแบบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทำการผลิตนํ้ามันปาล์มแดง เพื่อแก้ปัญหาราคาผลปาล์มตกตํ่า โดยการนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ นำมาเป็นสารตั้งต้นผลิตเป็นสบู่ก้อน สบู่เหลว เจลนวดสมุนไพร
อีกทั้งยังวิจัยต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น ซอฟต์เจลผสมสมุนไพร การผลิตเจลลี่สำหรับคนสูงอายุ วิตามินสำหรับเด็ก มาการีนชีวภาพ ตลอดจนนำไปใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง อาหารไก่ อาหารโค เป็นต้น และกำลังพัฒนาต่อยอดจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันได้เข้าร่วมกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ด้วยการนำเทคโนโลยีไมรโครเวฟมาใช้ในการอบผลปาล์ม ช่วยลดระยะเวลาการผลิตลงได้จำนวนมาก
ในอนาคตกลุ่มวิสาหกิจฯ หวังเอาไว้ว่า อยากมีโรงงานนํ้ามันปาล์มธรรมชาติต้นแบบเชิงพาณิชย์ในชุมชนโดยมีเครื่องมือขนาดที่เหมาะสมที่สกัดนํ้ามันปาล์มแดงธรรมชาติที่ได้มาตรฐาน อย. / GMP เพื่อผลิตนํ้ามันบริโภค และเครื่องสำอาง เวชสำอาง ต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง