องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก.ได้รายงานถึงสถานการณ์ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของประเทศไทยจากโครงการ T-VER ในรอบปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566-กันยายน 2567) ว่า มีปริมาณการซื้อขาย 686,079 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) มีมูลค่าการซื้อขาย 85.79 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ย 125.05 บาทต่อตัน โดยประเภทการซื้อขายส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มชีวมวล ปริมาณซื้อขาย 300,572 ตัน มูลค่า 17.47 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยที่ 58.13 บาทต่อตัน
รองลงมาเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ปริมาณซื้อขาย 162,327 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่า 8.32 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 51.31 บาทต่อตัน ป่าไม้ ปริมาณการซื้อขาย 100,762 ตัน มูลค่า 51.32 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยที่ 509.34 บาทต่อตัน และการจัดการนํ้าเสียอุตสาหกรรม ปริมาณการซื้อขาย 86,500 ตัน มูลค่า 4.44 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยที่ 51.42 บาทต่อตัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายคาร์บอนเครดิต หากเปรียบเทียบปีงบประมาณ 2566 ปริมาณซื้อขายอยู่ที่ 857,102 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ มีมูลค่า 68.32 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 79.71 บาทต่อตัน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน มีปริมาณการซื้อขายสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 3,488,063 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็นมูลค่ารวม 304.15 ล้านบาท
ขณะที่ปริมาณการซื้อขาย ผ่าน Exchange Platform FTIX ปีงบประมาณ 2567 ปริมาณการซื้อขาย 1,798 ตัน มูลค่าการซื้อขาย 110,304 บาท ราคาเฉลี่ย 61.35 บาทต่อตัน ซึ่งตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา มีปริมาณการซื้อขายสะสมทั้งหมด 13,665 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่าการซื้อขาย 727,204 บาท
ส่วนการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจก นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 มีจำนวน 460 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด / กักเก็บได้ราว 13.40 ล้านตันต่อปี ส่วนใหญ่เป็นประเภท การพัฒนาพลังงานทดแทน 219 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 4.00 ล้านตันต่อปี รองลงมาเป็นประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน 77 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 5.03 ล้านตันต่อ ประเภทการจัดการขยะมูลฝอย
สิ่งปฏิกูลและวัสดุเหลือใช้ 38 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 1.51 ล้านตันต่อปี ประเภทพลังงานทดแทนจากการจัดการของเสีย 19 โครงการคิดเป็นปริมาณ 1.55 ล้านตันต่อปี ประเภทการจัดการในภาคขนส่ง 3 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 61,998 ตันต่อปี ประเภทป่าไม้และพื้นที่สีเขียว 92 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 866,342 ตันต่อปี ประเภทการเกษตร 11 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 358,748 ตันต่อปี และอื่น ๆ 1 โครงการ ปริมาณ 38,089 ตันต่อปี
สำหรับโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว 173 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 20.49 ล้านตัน เป็นประเภท การพัฒนาพลังงานทดแทน 84โครงการ คิดเป็นปริมาณ 11.58 ล้านตัน ประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน 41 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 3.14 ล้านตัน ประเภทการจัดการขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูลและวัสดุเหลือใช้ 27 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 2.70 ล้านตัน ประเภทพลังงานทดแทนจากการจัดการของเสีย 10 โครงการคิดเป็นปริมาณ 2.41 ล้านตัน ประเภทป่าไม้และพื้นที่สีเขียว 9 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 543,221 ตัน ประเภทการเกษตร 1 โครงการ คิดเป็นปริมาณ 14,450 ตัน และอื่น ๆ 1 โครงการ ปริมาณ 81,598 ตัน
ทั้งนี้ จากดำเนินงานดังกล่าว พบว่า มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง 20,005,408 ตัน มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ถูกชดเชย 1,887,115 ตัน และมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่อยู่ในตลาด 18,118,293 ตัน
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพียง 3.48 ล้านตัน คิดเป็น 17 % ของปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับรองทั้งหมด สะท้อนความเป็นไปได้ว่า ผู้ขายไม่ได้นำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองออกมาขายสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต เนื่องจากต้องการนำคาร์บอนเครดิตดังกล่าวไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของตัวเอง และผู้ซื้อยังมีความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตไม่มาก ทำให้ราคาขายไม่คุ้มค่าพอให้ผู้พัฒนาหรือเจ้าของโครงการยินดีขาย
นอกจากนี้ พบว่า ปริมาณการนำคาร์บอนเครดิตที่ได้ถูกนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ผลิตภัณฑ์ งานอีเว้นท์ และการชดเชยส่วนบุคคลด้วยเครดิตมาตรฐาน TVERs มีจำนวนเพียง 1.88 ล้านตัน ถือว่าอยู่ในระดับตํ่ามากเพียง 0.17 % เมื่อการปล่อยคาร์บอนราว 270 ล้านตันต่อปี
ดังนั้น การจะยกระดับตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทยให้มีความนิยมมากยิ่งขึ้น ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ขณะเดียวกันต้องเพิ่มช่องทางการใช้คาร์บอนเครดิต เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศผ่านนโยบายภาคบังคับ โดยกำหนดเครื่องมือ เช่น ภาษีคาร์บอนที่อนุโลมให้สามารถใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยได้บางส่วนหรือกำหนดระยะเวลา
พัฒนามาตรฐานการขึ้นทะเบียน ตรวจวัด และรับรองโครงการให้ใช้ได้ในระดับสากล เพื่อขยายตลาดเพิ่ม Demand การนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เช่น โครงการชดเชยและการลดคาร์บอนสำหรับการบินระหว่างประเทศ (CORSIA), องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) หรือความสามารถในการแปลงข้ามมาตรฐาน เป็นต้น
การสนับสนุนทางการเงิน ผ่านมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการประเมินและรับรองคาร์บอนเครดิต รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต เพื่อช่วยลดต้นทุนผู้พัฒนาโครงการ การส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคประชาชนและธุรกิจ (Best Practice) เพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต รวมถึงการนำคาร์บอนเครดิตไปใช้งาน โดยเฉพาะในระดับชุมชนที่ยังขาดความรู้ เพื่อดึงดูดองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ ให้เข้ามาสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง