นิปปอนเพนต์ชู "GREEN PLAN" ขับเคลื่อนองค์กร มุ่งเป้า "Net Zero" ปี 2050
ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทุกวันนี้ ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งบนโลก ทำให้ทั่วโลกต่างตระหนักและเร่งหาทางแก้ไขและป้องกัน นิปปอนเพนต์ เล็งเห็นถึงผลกระทบดังกล่าว จึงมีการแสดงจุดยืน โดยดำเนินการร่วมกับพันธมิตรภายใต้กลยุทธ์ GREEN PLAN หรือ แผนสีเขียว เพื่อมุ่งลดภาวะโลกร้อนจากการใช้พลังงานในการผลิต
สำหรับการดำเนินการตามแผนสีเขียว GREEN PLAN ประกอบด้วย Green Process และ Green Product ที่สอดคล้องกับหลัก Sustainability สากล ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) ผู้คน-สังคม (Social) และ เศรษฐกิจ (Economy)
นอกจากนี้ยังขยายความสำคัญให้ครอบคลุมอีก 2 ข้อ ทั้งนวัตกรรม (Innovation) และ ผู้บริโภค (Customers) โดยทั้งหมดสอดผสานไปกับหลัก UNSDGs 9 ข้อ ผนวกเป็นกลยุทธ์ Smart Framework ที่ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการประกอบธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในห่วงโซ่คุณค่าทางธุรกิจ
แต่ยังส่งเสริมและผลักดันวัฒนธรรมการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งด้านความเท่าเทียมในองค์กร โดยมุ่งหวังให้เป็นวาระสำคัญ เพื่อนำไปสู่ Net Zero อย่างเต็มรูปแบบในปี 2050
ส่วนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงที่สถานประกอบการภายใต้ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001:2015 ประกอบด้วย
ยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน โดยการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาโรงงานผลิตสี (Solar Roof) เพื่อลดปริมาณคาร์บอนไปแล้วกว่า 600,000 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากการปลูกต้นไม้กว่า 60,000 ต้น โดยพลังงานทางเลือกจากโซลาร์เซลส์สามารถผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโรงงานได้กว่า 1.4MW ต่อปี และเปลี่ยนมาใช้รถยกที่ใช้แบตเตอรี่แทนรถที่ใช้น้ำมันดีเซล เป็นต้น
ยุทธศาสตร์ด้านการอนุรักษ์น้ำ ซึ่งน้ำถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากสำหรับกระบวนการผลิต นิปปอนเพนต์มุ่งส่งเสริมกิจกรรมการบำบัดน้ำเสียภายในองค์กร โดยนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดอย่างถูกต้องแล้วกลับมาใช้ใหม่ คาดการณ์ว่าสามารถลดการใช้น้ำกว่า 840,000 ลิตรต่อปี เทียบเท่าการกดโถสุขภัณฑ์กว่า 70,000 ครั้ง นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งชุดทดสอบดินและการรั่วไหลเพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนบริเวณโดยรอบและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดีมีข้อกำหนดในการบำบัดน้ำเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำเสีย ได้แก่
น้ำที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้
น้ำดังกล่าวจะถูกกำจัดตามประเภทของขยะอุตสาหกรรมและกักเก็บโดยผู้ให้บริการที่มีใบอนุญาต เพื่อบำบัดเพิ่มเติมตามกฎหมายท้องถิ่น
น้ำจากห้องปฏิบัติการจะได้รับการบำบัดในแทงก์เจือจาง และทดสอบโดยผู้ประเมินในหน่วยงานก่อนที่จะปล่อยออกเป็นน้ำเสียสาธารณะ
น้ำที่สามารถกำจัดได้โดยตรง
น้ำจากห้องน้ำและอ่างล้างมือ จะเชื่อมโยงโดยตรงกับท่อน้ำเสียสาธารณะ
ยุทธศาสตร์ด้านการลดมลพิษทางอากาศ โดยใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ Dust Collector เพื่อเป็นอุปกรณ์เก็บฝุ่น และนำฝุ่นภายในโรงงานกลับเข้าสู่กระบวนการผลิต ด้วยวิธีนี้สามารถลดปริมาณฝุ่นได้ 3,000 กิโลกรัมต่อปี
ยุทธศาสตร์ด้านการกำจัดของเสีย ซึ่งวิธีการกำจัดของเสียจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของขยะ เช่น วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ จะถูกนำมาใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลโดยบริษัทผู้รับเหมาที่ถูกต้อง หรือดำเนินการเองภายในองค์กร อีกทั้งยังใส่ใจเรื่องการกำจัดขยะ ไม่ว่าจะเป็นการแยกขยะหรือการติดฉลากแนะนำวิธีการกำจัดอย่างถูกวิธี รวมถึงยังได้ประเมินผลกระทบเพื่อระบุและติดตามต้นกำเนิดของของเสีย ภายใต้มาตรฐาน ISO: 14001 และกฎหมายการกำจัดของเสียในท้องถิ่น เพื่อกำหนดขั้นตอนในการจัดการของเสียให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ระบบสีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สีคุณภาพสูงของ ยังมุ่งปล่อยคาร์บอนต่ำ ด้วยวิธีการดังนี้
ระบบสีเพื่อลด Embodied Carbon ผ่านการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ พร้อมโซลูชั่นลดคาร์บอนตั้งแต่ก่อสร้าง ลดขั้นตอนและเพิ่มคุณค่าในการทำงาน พร้อมทั้งลด Operation Carbon ด้วยเทคโนโลยีสีประหยัดพลังงาน ลดอุณหภูมิ ลดค่าไฟ รับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง สีทนทานยาวนาน เพิ่มอายุให้อาคาร ลดการปล่อยคาร์บอนจากการปรับปรุงอาคาร
นวัตกรรมสีสร้างความยั่งยืน มีฉลากสีปลอดภัย หรือ GREEN CHOICE ไม่มีกลิ่นฉุน (Low VOCs) ช่วยเพิ่มคะแนน LEED v4.1 และ WELL v2 ให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพิ่ม Productivity ในการทำงาน ยกระดับอุตสาหกรรมสีในประเทศไทย และนวัตกรรมช่วยลดของเสียในไซต์งาน ลดฝุ่นในการทำงาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม