ในยุคที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับการลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ "ความยั่งยืน" COTTO ภายใต้ SCG Decor ผู้นำแบรนด์กระเบื้องและสุขภัณฑ์ระดับโลก ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่ผลักดันโมเดล Circular Economy มาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่กระบวนการผลิต (Green Process) สู่การพัฒนาสินค้ารักษ์โลก (Green Product) โดยสินค้าทุกตัวจะเน้นการใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ถึง 80% และเป็นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง 75% เพื่อส่งผลกระทบต่อโลกน้อยที่สุด พร้อมยกระดับมาตรฐานด้านการอยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืน
นายปราปต์ พึ่งรัศมี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า คอตโต้ตระหนักดีถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลก เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย NET ZERO Carbon Emission ภายในปี 2593 ด้วยการเน้นย้ำในเรื่องของความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการคิด ผลิต ไปจนถึงการทำลาย
สินค้าเด่นของคอตโต้คือ Eco Collection กระเบื้องที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ถึง 80% โดยนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ ขณะที่การผลิตยังมีการนำพลังงานทางเลือก พลังงานที่มีคาร์บอนต่ำ และระบบจัดการของเสียมาใช้ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 32,000 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 190,000 ต้นต่อปี
นอกจากนี้ คอตโต้ยังใช้ระบบบำบัดน้ำเสียและรีไซเคิลน้ำในโรงงานสูงสุด 83% ใช้พลังงานจากชีวมวลทดแทนพลังงานฟอสซิล ลดคาร์บอนได้ 5,500 ตัน และใช้พลังงานหมุนเวียนจากโซลาร์เซลล์ถึง 21% สร้าง Waste to Value ได้ปีละ 17,500 ตัน เมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไป สามารถลดการใช้น้ำได้ 23,000 ล้านลิตรต่อปี
ล่าสุด ในงานสถาปนิก'67 คอตโต้ได้นำเสนอนวัตกรรมวัสดุตกแต่งรักษ์โลกผ่านคอนเซ็ปต์ "COTTO 'reform the new sustainable result , made by you'" สะท้อนประเด็น Climate Change และส่งต่อมุมมองใหม่ๆ ให้นักออกแบบตระหนักถึงการเลือกใช้วัสดุที่สวยงามและดีต่อโลก ได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยมจากทั้งนักออกแบบและกลุ่มคนทุก Gen
ปัจจุบันคอตโต้ มีการนำวัตถุดิบหมุนเวียนมาใช้ในแต่ละปีกว่า 120,000 ตัน (12%) เพื่อลดการใช้ทรัพยากรใหม่จากธรรมชาติ โดยมีกระบวนการผลิตกระเบื้องผ่านกระบวนการที่ใช้ระบบบำบัดน้ำเสียและรีไซเคิลใช้ภายในโรงงานสูงสุด 83%
ใช้พลังงานจากชีวมวลทดแทนพลังงานฟอสซิลในการผลิตกระเบื้อง ที่ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 5,500 ตัน CO2 (1.5% และแผนเพิ่มสัดส่วน 50% ในปี 2030 และใช้พลังงานหมุนเวียนจากโซล่าเซลล์ 21% ในการผลิตสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ ซึ่งสามารถสร้าง waste to value ได้ปีละ 17,500 ตัน
ทั้งนี้หากเทียบกับสินค้าทั่วไป สามารถลดการใช้น้ำได้อย่างน้อยปีละ 23,000 ล้านลิตร (ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 206,500 ตันต่อปี หรือเทียบได้กับการปลูกต้นไม้ 1.2 ล้านต้น) รวมทั้งการเปลี่ยนมาใช้รถ EV forklift แบบ 100% จากกิจกรรมดังกล่าว COTTO ลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งวัตถุดิบได้ประมาณ 75% และลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณปีละ 32,000 ตัน CO2/ปี (8%/ปี) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 190,000 ต้นต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องหมายรับรองด้านมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาทิ Carbon Reduction Label ฉลากลดคาร์บอน Carbon Footprint for Organization (CFO) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากกิจกรรมต่างๆขององค์กร และ Environmental Product Declaration (EPD) การประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ของกระเบื้องเอ็กซ์พอร์ซเลน และรายงานผลกระทบที่เป็นสำคัญอย่างน้อย 3 มิติ ได้แก่ Global Warming, Ozone Layer Depletion, Eutrophication รับรองโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
"อีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ COTTO คือนอกจากการพัฒนาสินค้า โดยคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าต้องใช้ได้จริง ดีไซน์สวย และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมแล้ว เรายังมุ่งเน้นฟังก์ชันต่างๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาในอนาคต อาทิ การผลิตกระเบื้องดักจับฝุ่น กระเบื้องกันลื่น สำหรับผู้สูงอายุ และเด็กวัยกำลังซน พร้อมพัฒนาไปถึงกระเบื้องลดกลิ่นสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และตอบโจทย์ในกลุ่มคนทุก Gen ทุกเทรนด์ ได้อย่างครอบคลุม" นายปราปต์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง