ผู้นำ “NCH” รักษาโซนลีดเดอร์ เพิ่มฐานสินค้าใหม่ นำทุกโปรดักส์ สู่ ESG

08 มี.ค. 2567 | 05:28 น.

คอลัมน์" ซีอีโอโฟกัส"  ผู้นำ “NCH” “สมนึก ตันฑเทอดธรรม” รักษาโซนลีดเดอร์ เพิ่มฐานสินค้าใหม่ นำทุกโปรดักส์ สู่ ESG

 

เมื่อพูดถึง “กรุงเทพฯ โซนเหนือ” (รังสิต-ลำลูกกา) ต้องนึกถึง อาณาจักรใหญ่ของ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)  หรือ NCH ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบ-แนวสูงภายใต้การนำของ “สมนึก ตันฑเทอดธรรม”  กรรมการผู้จัดการ ทายาทรุ่น 2 ที่รับไม้ต่อมาจากคุณหมอนักพัฒนา “นพ.สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม” ผู้จุดประกายแบรนด์ “บ้านฟ้า” ที่สร้างชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

 

  แม้การแข่งขันจะสูงจากการขยายตัวของเมืองมาทางโซนนี้กันมากแต่ NCH ยัง รักษาฐานไว้ได้อย่างแข็งแกร่งจากความชำนาญในพื้นที่ ประกอบกับความได้เปรียบมีแลนด์แบงก์สะสมรอพัฒนา และปัจจุบันได้ขยายฐานลูกค้าไปในหลายโซน

โดยปี 2567 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 30 ปี มีเป้าหมายเพิ่มพอร์ตการลงทุนครอบคลุม 4 โซนหลักรอบกรุงเทพฯและปริมณฑลพัฒนาโครงการใหม่กระจายบนทำเลศักยภาพ ซึ่งเป็นไพร์มโซนเหมาะกับการอยู่อาศัย ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ การแข่งขันที่ทุกค่ายต้องปรับตัว รวมถึง  NCH 

 ที่ “สมนึก” ถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน “คอลัมน์ซีอีโอโฟกัส”  ว่า ดีมานด์ ซัพพลายปรับตัวในตัวเองด้วยสภาพแวดล้อมเช่น รายที่ทำแนวสูงแล้วมาทำแนวราบ ต้องรับการแข่งขันที่สูง และต้องมองถึงการระบายสต๊อก ขณะคนที่ทำแนวราบเองต้องรักษาฐานและขยายฐานให้ได้ ซึ่งการรักษาฐานบริษัทได้พัฒนาในโซนที่เป็นลีดเดอร์อยู่แล้ว ซึ่งต้องรักษาฐานตรงนี้ให้มั่น เพิ่มฐานสินค้าโปรดักส์ใหม่โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป 

สมนึก ตันฑเทอดธรรม

“สมนึก” ขยายความเพิ่มเติมที่ว่า เมื่อก่อนบ้านติดสนามกอล์ฟอาจเป็นบ้านราคาแพงแต่ต่อไปอาจปรับเป็นบ้านราคาจับต้องได้ ส่วนกลุ่มทาวน์โฮม ปัจจุบันรายใหญ่เข้าไปเล่นน้อยลง ก็อาจเป็นช่องทางเข้าไปบุกกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งบริษัท มีมาร์เก็ตแชร์ ตรงนี้อยู่มาก และเป็นฐานเก่ามองสินค้าประเภทใหม่ๆ แม้ว่าจะเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน

 รวมถึงบ้านแฝดอาจต้องมองกลุ่มผู้รักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาจจะทำสินค้าที่มีนวัตกรรมซึ่งมันเข้ากับแนวทางที่ทำอยู่แล้ว ที่เป็นไลฟ์สไตล์ลูกค้าสนใจมากขึ้น เน้นวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประหยัดพลังงาน ช่วยประหยัดไฟบ้านค่าแอร์ด้วย อีวี โซล่าเซลล์ ซึ่งเดิมคนกลุ่มนี้ไปซื้อคอนโดมิเนียมในเมือง แต่สามารถดึงกลับมาซื้อบ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีได้

 

“เรามีฐานเดิมอยู่แล้วลูกบ้านก็บอกต่อ  มีเรื่องของให้ลูกค้าประทับใจการอยู่อาศัยนานๆ เรารักษาฐานเก่า และขยายฐานใหม่”

 คนรุ่นใหม่สนใจคอนโดมิเนียม ยกเว้นต้องการซื้อหลังที่สองเป็นแนวราบ ที่ผ่านมาบริษัทเคยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่พัทยาและเชียงใหม่แต่ ไม่ได้ขยายโครงการต่อเพราะด้วยความชำชาญแนวราบและโซนที่ถนัด ทำเล ส่วนใหญ่ ยังเน้น รังสิต ลำลูกกา ปิ่นเกล้า เพชรเกษม เวสต์เกต บางบัวทอง ชัยพฤกษ์ แพรกษา สมุทรปราการฯลฯ ซึ่งได้กระจายเจาะฐานลูกค้า

 “สมนึก” อธิบายว่า ปัจจุบันเน้นมาทางโซนเหนือ เพราะสินค้าหมด กลุ่มลูกค้าเป็นคนในย่านและคนทำงานในเมือง ที่ต้องการซื้อบ้าน ซึ่งที่อยู่อาศัย ประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝดราคาไม่แพง มีไม่กี่โซน โดยโซนเหนือ “NCH” มีโครงการค่อนข้างมาก

 ขณะเดียวกัน ต้องวางแผนทางการเงิน โดยเฉพาะสภาพคล่อง ที่เน้นแนวราบเพราะสามารถปรับลด หรือเพิ่มได้ ขณะคอนโดมิเนียมในเมืองทุกทำเล เป็น “Red Ocean” หรือพื้นที่แข่งขันสูง 

 ยกตัวอย่างปีที่ผ่านมา สถานการณ์ไม่ค่อยดีกำลังซื้อชะลอตัว แผนเดิมเปิด 5 โครงการก็ลดลงเหลือ 3 โครงการ เพื่อไม่ให้เกิดสต๊อกสะสม และมาเปิดมากในปีนี้แทน 6 โครงการเปิดไปขายไป ตลาดไม่ดี ก็ปรับลดโครงการลง 

วันนี้ผู้ประกอบการออกหุ้นกู้สูง เพราะกู้สถาบันการเงินไม่ได้ ขณะบริษัทออกหุ้นกู้ไม่มากปีนี้ 150 ล้านบาท และต้องรีบใช้คืน โดยเน้นการกู้สถาบันการเงินมากกว่ามองว่าต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า แม้ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับแต่ในภาพรวมตลาดหุ้นกู้มีความเสี่ยง ออกหุ้นกู้แล้วต้องคืนก่อน นี่คือวินัยการเงิน และหลายรายเริ่มมีปัญหา  นักลงทุนอาจไม่กล้าตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ต่อ

 “เรามีวินัยไม่เปิดมากไป เน้นกู้แบงก์เป็นหลัก โดยดูกำลังซื้อว่าจะขายได้จริงหรือไม่  โดยปีที่ผ่านมาอาจจะซ้าลง  เราเปิด 3 โครงการ  จากเป้า 5 โครงการ เพราะสินค้าเรายังไม่หมดไม่ต้องเปิดเพิ่มสต๊อกเราไม่เอาเงินไปจมในสต๊อก ถ้าขายไม่ได้หลายเดือนติดต่อกัน เราก็ชะลอโครงการใหม่”

 “สมนึก” มองว่าเป็นวิธีบริหารเงิน และขายหมด มีสต๊อกข้างหน้าประมาณ 3-4 เดือน มีสินค้าบนเชลฟ์ ในโครงการซื้อและโอนได้เลยภายใน 45 วัน 3-4 เดือนถ้าขายได้เดือนหนึ่งก็สร้างเพิ่ม เดินสายพาน คือการวางแผนเพิ่มสต๊อก โดยสต๊อกมากไปไม่ดี น้อยไปไม่มีของขายมากไปเงินจมบ้านจะเก่าด้วย ซึ่งคนที่มีประสบการณ์อาจมีทีมที่พร้อมและบริหารจัดการจุดนี้ได้ดี ถือเป็นสัดส่วนมากกว่าปีที่ผ่านมา

 การเปิดโครงการ จะดูปัจจัย จากดอกเบี้ย กับกำลังซื้อที่มาจากหนี้ครัวเรือน ขณะเดียวกันกำลังซื้อบางส่วนต้องใช้เวลา บางคนเคลียร์ตัวเอง เคลียร์ หนี้สินได้ บางคนมีทรัพย์ที่เป็นภาระหนี้ สามารถขายบางอย่างออกไป ทำให้มีสภาพคล่องขึ้นหนี้ก็หายไป แต่ที่น่ากังวลคือ คนอายุน้อยก่อหนี้เร็ว อาจอันตรายคนรุ่นใหม่ไม่มีเงินเก็บ คนกุล่มนี้จะซื้อบ้านลำบากในระยะยาว

พร้อมกันนี้ “NCH” เดินหน้าวางกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ในปีนี้ ได้แก่

1.Green Concept ด้วยรูปแบบดีไซน์ คอนเซ็ปต์โครงการ สถาปัตยกรรม เชื่อมโยงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการออกแบบเพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืน

2.เพิ่มพอร์ตทำเล และฐานลูกค้า ที่ใหญ่ ขึ้น

3.พันธกิจ สู่ ESG  ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ  ด้านสังคมจะพิจารณา ด้านการดูแลผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สำหรับเรื่อง กรีน “สมนึก” ย้ำว่า ดำเนินการมานานแล้ว แต่จะเติมเต็ม ด้านสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม ที่จะตอบโจทย์ทำให้ก้าวไปข้างหน้า

ขณะอาณาจักร NCH “รังสิต ลำลูกกา คลอง 6”  ใน 3-4 ปี  ข้างหน้าจะพัฒนารูปแบบมิกซ์ยูส นำพื้นที่ที่เหลือ จากทั้งหมด 1,200 ไร่ บริเวณด้านหน้าโครงการ นำมาลงทุนโรงพยาบาลขนาดกลาง รองรับกลุ่มลูกบ้าน 17 โครงการ เกือบ 6,000 ครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีบ้านใกล้โรงพยาบาล ห้าง โรงเรียน ศูนย์ราชการ สปอร์ตคลับ สนามเทนนิส แบดมินตัน สระว่ายน้ำ และรายล้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วย มูลค่ารวมทั้งโครงการไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท

 นี่คือ พันธกิจสำคัญและวิธีคิดการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สำหรับ เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง หรือ NCH !!!

 

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,972 วันที่ 7 - 9 มีนาคม พ.ศ. 2567