โอกาสทองส่งออก "อาหารสัตว์เลี้ยง" เจาะตลาดจีน ยอด 8 เดือน โกยเฉียดพันล้าน

15 ต.ค. 2567 | 07:00 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ต.ค. 2567 | 07:43 น.

สนค. เผยสถาการณ์การค้าและแนวโน้มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เล็งเจาะกลุ่มตลาดจีนกลุ่มเป้าหมายใหม่โซนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โอกาสผู้ประกอบการไทยขยายตลาดเพิ่มเติม ช่วง 8 เดือนปี 67 ไทยส่งออกอาหารเลี้ยงสัตว์ไปจีน มูลค่า 974 ล้านบาท

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าและแนวโน้มของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งไทยเป็นประเทศผู้นำด้านการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก โดยในปี 2566 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 4 ของโลก มีส่วนแบ่ง 8.39% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลก รองจากเยอรมนี 13.07% สหรัฐอเมริกา 9.81% และฝรั่งเศส 9.77%

ทั้งนี้ จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยน่าจะมีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติม โดยในปี 2566 จีนนำเข้าสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทย เป็นอันดับที่ 3 ส่วนแบ่ง 8.02% ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของจีน รองจากสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 65.66% และนิวซีแลนด์ ซึ่งมีส่วนแบ่ง 13.34%

 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

 

ขณะเดียว สนค. ได้ศึกษาข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ที่เผยแพร่รายงาน เรื่อง ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ระบุว่า ในปี 2566 สุนัขและแมวในเขตเมืองทั่วประเทศจีน มีจำนวนมากกว่า 120 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2565 โดยแมวมีจำนวนถึง 70 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2565 

ขณะเดียวกัน สุนัขมีจำนวน 52 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 1% จากปี 2565 ส่งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2566 มูลค่าการบริโภคอาหารแมว เพิ่มขึ้น 7.6% คิดเป็นมูลค่า 71,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 10,000 ล้านดอลลลาร์ ส่วนอาหารสุนัข เพิ่มขึ้น 4.0% คิดเป็นมูลค่า 74,800 ล้านหยวน ประมาณ 10,500 ล้านดอลลาร์ 

 

โอกาสทองส่งออก "อาหารสัตว์เลี้ยง" เจาะตลาดจีน ยอด 8 เดือน โกยเฉียดพันล้าน

 

ขณะที่ สัดส่วนจำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงอยู่ในเขตเมืองรองระดับสองมากที่สุดถึง 41% โดยเมืองหลักระดับหนึ่ง มีจำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยง 30% และเมืองรองระดับสาม มีจำนวนเจ้าของสัตว์ 29% โดยมืองใหญ่ทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนถือเป็นเมืองรองระดับสอง รวมถึงเมืองหลวงทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ 

  • นครฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียง 
  • นครฉางชุน มณฑลจี๋หลิน 
  • นครเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง
  • เมืองท่าต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง 

นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่า มณฑลเหลียวหนิง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และติด 1 ใน 10 อันดับของมณฑลที่มีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากที่สุด โดยสุนัขและแมว  70% ของตลาดสัตว์เลี้ยงในจีนมาจากมณฑลเหลียวหนิง มีเมืองอันซาน เมืองระดับที่สามในเหลียวหนิง เป็นเมืองอุตสาหกรรมเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่สำคัญและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ผู้เพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงของจีนมักนิยมใช้อาหารสัตว์นำเข้าคุณภาพสูง เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและรูปลักษณ์ที่ดีของสัตว์เลี้ยง

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้าจากต่างประเทศสามารถเติบโตในจีน มีดังนี้ 

  1. สินค้าต้องวางจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดตลาด เนื่องจากผู้บริโภคจะหันไปเลือกซื้อแบรนด์อื่น รวมทั้งสินค้าแบรนด์ที่ราคาถูกกว่าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ง่าย 
  2. อาหารสัตว์เลี้ยงต้องมีความสดใหม่ ผู้บริโภคชาวจีนให้ความสำคัญกับวันหมดอายุ ซึ่งอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามักมีวันหมดอายุที่สั้นกว่า (เนื่องจากระยะเวลาขนส่ง) เมื่อเทียบกับอาหารสัตว์เลี้ยงที่ผลิตในประเทศ 
  3. ต้องมีการควบคุมราคาไม่ให้แตกต่างกันมากในแต่ละช่องทางการจำหน่าย เนื่องจากตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจีนมีการแข่งขันกันสูงและรุนแรง ระหว่างร้านขายอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีหน้าร้าน ร้านค้าออนไลน์ และร้านค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน (Cross-border E-Commerce) แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงต่างชาติจึงควรให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าทุกช่องทาง ให้มีราคาและโปรโมชันใกล้เคียงกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า 
  4. บรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงต้องมีสีสันสวยงามและสะดุดตา รวมทั้งควรมีข้อมูลอธิบายเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการและคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์

 

โอกาสทองส่งออก "อาหารสัตว์เลี้ยง" เจาะตลาดจีน ยอด 8 เดือน โกยเฉียดพันล้าน

 

ทั้งนี้ ภาพรวมของการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทย ในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกรวม 2,092.4 ล้านดอลลาร์ หรือ 72,250 ล้านบาท หดตัว 15% จากปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกสำคัญของไทย5 อันดับแรก ได้แก่ 

  • สหรัฐอเมริกา สัดส่วน 28.43% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย 
  • ญี่ปุ่น สัดส่วน 15.78% 
  • มาเลเซีย สัดส่วน 6.16% 
  • อิตาลี สัดส่วน 5.91% 
  • ออสเตรเลีย สัดส่วน 5.55%

ขณะที่ ปี 2567 ในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม – สิงหาคม) ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง 1,769.4 ล้านดอลลาร์ หรือ63,453 ล้านบาท ขยายตัว 34.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า การส่งออกไปตลาดสำคัญขยายตัวได้ดีทุกตลาด อาทิ สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 57.3% อิตาลี ขยายตัว 49.5% ออสเตรเลีย ขยายตัว 43% มาเลเซีย ขยายตัว 7.4% และญี่ปุ่น ขยายตัว 4.1%

นอกจากนี้ หากพิจารณาเฉพาะตลาดจีน พบว่า ในปี 2566 จีนเป็นตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 13 ของไทย มีมูลค่าการส่งออก 38 ล้านดอลลาร์ หรือ 1,310 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.82% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย แม้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยไปจีน ปี 2566 จะหดตัว 42.2% แต่ในปี 2567 ช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม – สิงหาคม) ก็กลับมาขยายตัว 9.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 27.1 ล้านดอลลาร์ หรือ 974 ล้านบาท

 

โอกาสทองส่งออก "อาหารสัตว์เลี้ยง" เจาะตลาดจีน ยอด 8 เดือน โกยเฉียดพันล้าน

 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของจีน ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 ไทยมีส่วนแบ่งมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าป็น 9.38% ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของจีน ขณะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับที่ 1 ของจีน มีส่วนแบ่งมูลค่าการนำเข้าจากจีนลดลงเหลือ 66.89% ส่วนนิวซีแลนด์ เพิ่มขึ้นเป็น 13.51%

นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จีนเป็นตลาดศักยภาพที่น่าสนใจสำหรับสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยสามารถเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน โดยควรศึกษารสนิยม/พฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและมาตรฐาน และความแตกต่างของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย ผู้ผลิตควรให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และแรงงาน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยทำให้อาหารสัตว์เลี้ยงไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกเหนือจากคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่ไทยมีจุดแข็งอยู่แล้ว