สิ่งทอ-เครื่องนุ่ง แบก 2 แสนแรงงาน ตั้งรับขึ้นค่าจ้าง ดันผลิตสินค้าราคาสูง

23 มิ.ย. 2567 | 05:02 น.
อัปเดตล่าสุด :23 มิ.ย. 2567 | 05:44 น.

สินค้าจีนถล่มตลาดหนัก สิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่มแห่ผันตัวเป็นผู้นำเข้า อีกด้านดันเพิ่มขีดแข่งขันผลิตสินค้ามีมูลค่าสูงยกระดับอุตสาหกรรมหนีคู่แข่ง ชี้แบกภาระต้นทุนแรงงานกว่า 2 แสนคน กระทบแน่หากรัฐปรับขึ้นค่าจ้าง

อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมสร้างชาติ อุตสาหกรรมดั้งเดิมของไทยยุคบุกเบิก ณ ปัจจุบันต้องเผชิญการเข่งขันอย่างหนักหน่วงกับสินค้าจากเวียดนาม กัมพูชา บังกลาเทศ และจากประเทศอื่น ๆ ในตลาดโลกที่มีต้นทุนค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทย

จากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่รับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) ภายใต้แบรนด์เนมของลูกค้า ส่งผลให้ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรายใหญ่ของไทยได้ย้าย /ขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อความอยู่รอด

ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI)หรือการใช้กำลังการผลิตอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย ณ เดือนเมษายน 2567เฉลี่ยที่ 37% ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย หรืออุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 38%

นายยุทธนา  ศิลป์สรรค์วิชช์ กรรมการที่ปรึกษา และอดีตนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องุน่งห่มไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า คาดการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงสิ่งทอในครึ่งหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากสต๊อกสินค้าของคู่ค้าเริ่มลดลง และถึงจุดที่จะต้องสั่งซื้อเพิ่ม จะทำให้จากนี้ไปถึงช่วงปลายปีนี้ ตัวเลขจะค่อย ๆ ดีขึ้น จนถึงไตรมาสแรกปี 2568 ซึ่งคาดจะส่งผลทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตจะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 40-50% ได้

“คาดการณ์การใช้กำลังผลิตที่จะเพิ่มขึ้น เป็นผลจากจำนวนสต๊อกที่ลดลงของสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้าของลูกค้า และต้องสั่งสินค้าเพิ่มเพื่อเตรียมการขายสำหรับซีซั่นของปีหน้า จากที่ผ่านสต๊อกมันบวมมาตั้งแต่เกือบสองปีแล้ว ที่ลูกค้าสั่งสินค้าเข้าไปมากเนื่องจากกลัวว่าราคาวัตถุดิบจะปรับขึ้นสูงช่วงหลังโควิด”

อย่างไรก็ดี จากการข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ในปี 2563 ที่เกิดสถานการณ์โควิด การส่งออกเครื่องนุ่งห่มของไทยทำได้ที่ 65,825 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด และในปี 2566 ส่งออกได้ 70,330 ล้านบาท ลดลง 16% เมื่อเทียบกับปี 2565 ขณะช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 ส่งออกได้ 31,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566

ส่วนการส่งออกสิ่งทอในปี 2563 ส่งออกได้ 177,817 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่เกิดสถานการณ์โควิด ปี 2566 ส่งออกได้ 207,966 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับปี 2565 และช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 ส่งออก 90,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566

นายยุทธนา กล่าวว่า การส่งออกเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ที่ยังขยายตัวไม่ได้มากเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจ และการค้าโลกที่ยังชะลอตัว เนื่องจากยังมีสถานการณ์สงครามจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ที่ปะทุในรอบใหม่ และจากสต๊อกของคู่ค่าค้าที่ยังมีอยู่ แต่เริ่มลดลง

อย่างไรก็ตาม จากเศรษฐกิจ การค้าโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่สถานการณ์โควิด ต่อเนื่องถึงปีนี้มีโรงงานสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปิดตัวไปแล้วหลายสิบราย แต่ตัวเลขอย่างเป็นทางการยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ โดยที่ปิดตัวไปมีทั้งโรงปั่นด้าย โรงทอผ้า โรงงานฟอกย้อม รวมถึงโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และอื่น ๆ

ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากสินค้าเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาดในประเทศของไทยอย่างต่อเนื่องทั้งค้าปลีก ค้าส่ง ค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉลี่ยขายราคาต่ำกว่าสินค้าไทย 20-30% ซึ่งเวลานี้ไทยยังไม่มีการบริหารจัดการ หรือมีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ทำให้ในเวลานี้โรงงานเสื้อผ้าหลายรายทยอยปิดไลน์ผลิตแล้วมีการนำเข้าสินค้ามาขายแทน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานที่ผลิตป้อนให้กับย่านโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ ที่สมัยก่อนผลิตเองสมัยนี้ผลิตลดลง หรือนำเข้ามาขายแทน เพราะแข่งขันลำบาก

“มองในภาพ positive  ผู้ผลิตและใช้แรงงานมาก แล้วสินค้าไม่ได้คุณค่าที่สูง ก็ควรจะต้องไม่อยู่ในประเทศ เพราะเวลานี้ค่าแรงในไทยสูง ค่าครองชีพที่สูง และก็ขาดแคลนแรงงานดังนั้นแรงงานในอุตสาหกรรมที่สร้างคุณค่าได้น้อย ก็ควรจะไปผลิตให้กับสินค้าอื่นที่มีคุณค่ามากขึ้น แล้วเราก็ต้องแปลงตัวเองให้มาเป็น trader แทน ไม่จำเป็นต้องมาผลิตเอง”

ขณะเดียวกันต้องคิดใหม่ทำใหม่ ไทยต้องผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง ๆ มีฟังชั่นมาก ๆ เหมือนเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่นที่ทำเสื้อแพง ๆ  อะไรที่ถูก ๆ ก็ไปนำเข้ามา อย่าไปทำของถูก ๆ แข่งกับเพื่อนบ้านทั้งเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย บังกลาเทศ ที่ทำสินค้าได้ถูกกว่าไทย

ในประเด็นค่าจ้างแรงงานที่รัฐบาลมีนโยยบายจะปรับขึ้นเป็น 400 บาททั่วประเทศในเดือนตุลาคม 2567 ในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอที่เป็นอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้นมองอย่างไร และจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด นายยุทธนา กล่าวว่า ปัจจุบันในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอมีแรงงานในอุตสาหกรรมรวมกันร่วม 2 แสนคน

ในส่วนของอุตสาหกรรมต้นน้ำ(โรงปั่นด้าย โรงทอผ้า โรงฟอกย้อม) ที่ใช้เครื่องจักรใหญ่ ยังเป็นแรงงานไทยเป็นหลัก ส่วนอุตสาหกรรมปลายน้ำ(ตัดเย็บเสื้อผ้า) ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ที่เป็นแรงงานฝีมือได้รับค่าแรงระดับ 400- 500 บาทต่อวันมานานแล้ว ส่วนที่ยังกินค่าแรงขั้นต่ำ เช่น คนพับเสื้อ คนตัดขี้ด้าย คนยกของ เป็นต้น ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะกระทบอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอแน่นอน