svasdssvasds
logo-pwa

เพิ่ม thansettakij

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด
thansettakij

น้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าส่งออก จับตาครึ่งหลังราคาปาล์มร่วงอีก

06 มิถุนายน 2566

สศก.คาดน้ำมันปาล์มดิบไทยปี 2566 อยู่ที่ 3.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 65 ขณะความต้องการใช้เฉลี่ยเดือนละ 2.2 แสนตัน ส่งผลมีน้ำมันส่วนเกินสะสมเพิ่ม ดันสต๊อกพุ่ง กระทบราคาปาล์มเกษตรกร ด้าน USDA คาดครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกลดลง

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึง สถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันของไทย ปี 2566 (ข้อมูลพยากรณ์ ณ เมษายน 2566) สศก. คาดการณ์ว่าจะมีเนื้อที่ให้ผลผลิต 6.252 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีจำนวน 6.150 ล้านไร่ (เพิ่มขึ้น 1.66%) ผลผลิตปาล์มน้ำมันรวม 19.892 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีจำนวน 19.061 ล้านตัน (เพิ่มขึ้น  4.36%) 

ทั้งนี้ผลผลิตปาล์มน้ำมัน 19.892 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบ 3.581 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2565 ที่มีจำนวน 3.431 ล้านตัน (เพิ่มขึ้น 4.37%) โดยผลผลิตในรูปน้ำมันปาล์มดิบ จะทยอยออกสู่ตลาดเฉลี่ยเดือนละ 0.264 - 0.330 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 0.225 ล้านตัน จึงส่งผลทำให้มีน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินสะสมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 0.039 - 0.105 ล้านตัน

น้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าส่งออก จับตาครึ่งหลังราคาปาล์มร่วงอีก

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรก สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกยังทรงตัวในระดับสูง ส่งผลทำให้ไทยยังสามารถส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง โดยช่วงมกราคม - พฤษภาคม 2566 ไทยส่งออกน้ำมันปาล์มดิบได้รวม 0.570 ล้านตัน คาด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม จะมีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ 0.266 ล้านตัน (ระดับสต๊อกปกติอยู่ที่ 0.300 ล้านตัน)

ล่าสุด จากการคาดการณ์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ณ เดือนพฤษภาคม พบว่า ผลผลิตพืชน้ำมันโลก (ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน เรพซีด ฯลฯ ) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม จึงทำให้ราคาพืชน้ำมันรวมถึงราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างกิโลกรัม(กก.) ละ 26.00 – 28.00 บาท

น้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าส่งออก จับตาครึ่งหลังราคาปาล์มร่วงอีก

ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศเฉลี่ยที่ กก.ละ 30 บาท ซึ่งระดับราคาดังกล่าว ไทยไม่สามารถส่งออกได้ เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาในตลาดโลก จึงส่งผลทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 0.350 – 0.400 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าระดับสต๊อกปกติ และจะมีผลกระทบต่อราคาที่เกษตรกรได้รับ

ดังนั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงสร้างสมดุลน้ำมันปาล์มให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ โดยไม่กระทบกับราคาที่เกษตรกรขายได้  ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้รับทราบโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) 1/2566 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นมาตรการคู่ขนานของโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมันที่ กก.ละ 4 บาท

โครงการฯ ดังกล่าว มีเป้าหมายลดน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน จำนวน 150,000 ตัน ด้วยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฯ ในอัตรา กก.ละ 2.00 บาท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1.ระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และ 2.ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการมีความยืดหยุ่นและทันต่อสถานการณ์ จึงได้กำหนดระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบขั้นต่ำไว้ที่ 250,000 ตัน โดยให้เป็นอำนาจของ กนป. เป็นผู้พิจารณาระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบเหมาะสมที่จะใช้ในการพิจารณาสนับสนุนค่าบริหารจัดการการส่งออกต่อไป

น้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าส่งออก จับตาครึ่งหลังราคาปาล์มร่วงอีก

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงให้ความสำคัญในเรื่องของเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน การตัดปาล์มคุณภาพ หรือการตัดปาล์มสุก เพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรได้ เพราะอัตราการสกัดน้ำมันปาล์มทุกๆ 1% ที่เพิ่มขึ้น เกษตรกรจะได้ราคาเพิ่มขึ้นอีก กก.ละ 0.30 บาท และเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าเศรษฐกิจแล้ว พบว่า อัตราการสกัดน้ำมันปาล์ม ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 % จะทำให้มูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท

รวมถึงการเร่งผลักดันตามแนวทาง BCG โดยเฉพาะเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM) การใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญให้ทุกประเทศที่ต้องการส่งออกสินค้าไปกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปต้องถือปฏิบัติตามาตรการ CBAM ตลอดจนส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นของผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน ซึ่งไทยได้กำหนดเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน  ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 อีกด้วย