นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า จากกรณีน้ำท่วมหาดใหญ่ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ “โรงแรมเซ็นทาราหาดใหญ่” ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจโรงแรมที่หยุดชะงักไปบ้าง แต่ในแง่ของความเสียหายทางกายภาพจากตัวโรงแรมนั้น ไม่มีความเสียหายหนักๆ
เนื่องจากทางโรงแรมได้ดำเนินการย้ายพวกอุปกรณ์ต่างๆทั้งหมดขึ้นไปอยู่ข้างบนหมดแล้ว ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากประสบการณ์การประสบภัยน้ำท่วมเมื่อประมาณปี 2543 ที่ในตอนนั้นทางโรงแรมมีอุปกรณ์อยู่ข้างล่างและได้รับความเสียหาย จากน้ำท่วมในครั้งนั้น จึงได้ย้ายอุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นมาข้างบน ดังนั้นน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ จึงไม่มีความเสียหายของอุปกรณ์ต่างๆ
“ในส่วนของผลกระทบด้านธุรกิจ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประมาณ 1 เดือน ซึ่งทางโรงแรมประเมินความเสียหายอาจจะอยู่ที่ประมาณไม่ถึง 1% ของพอร์ตโฟลิโอโรงแรมทั้งหมดเท่านั้น จากการยกเลิกการจอง (Booking)ที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วหาดใหญ่จะนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นหลักและมีการเติบโตทุกปี”
อีกทั้งโรงแรมจะโชคดีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สูง แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังมีนักท่องเที่ยวติดค้างอยู่ประมาณ 130-140 คน โดยนักท่องเที่ยวที่ติดค้างส่วนใหญ่ คือ นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ประมาณ 100 กว่าคน จากก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์นี้ มีนักท่องเที่ยวในพื้นที่ประมาณ 400 คน และมีช่วงที่ระดับน้ำลดลง นักท่องเที่ยวบางส่วนก็ได้ทยอยเดินทางออกไปได้ ส่วนที่ติดค้างอยู่ ก็จะต้องดูแลจนกว่าจะเดินทางออกไปได้
นายธีระยุทธ ยังกล่าวต่อถึง ภาพรวมธุรกิจของเซ็นทาราในปีนี้ว่า คาดว่ารายได้จะเติบโต 8% จากปีก่อน เนื่องจากผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีการเติบโตที่ดี ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซัน ซึ่งในช่วงไฮซีซันนี้ถือว่าเติบโตดีมาก ไม่ว่าจะเป็น สมุย ภูเก็ต กรุงเทพฯ เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสาเหตุที่ภาพรวมปีนี้เซ็นทาราทำได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา คือ การบริหารจัดการตลาด เพราะแม้ว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยจะชลอตัว แต่ทางกลุ่มไม่ได้พึ่งพาตลาดจีนมากนัก
โดยมีสัดส่วนตลาดจีนไม่ถึง 10% ตลาดจีนจะมีผลกระทบมากกว่าในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่มีตลาดนักท่องเที่ยวยุโรปเข้ามาช่วยขับเคลื่อน รวมถึงนักท่องเที่ยวอินเดียที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ธุรกิจโรงแรมของเซ็นทาราในปีนี้จึงดีกว่าปีที่ผ่านมา
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีหน้า เซ็นทารา ยังคงมองในแง่ของการเติบโต โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ประมาณ 10-15% ซึ่งเป็นการมองไปข้างหน้าเพื่อหาช่องทางและวิธีในการเอาชนะความท้าทายต่าง ๆ (overcome) หากตลาดจีนกลับมา ก็ถือเป็นผลดี แต่ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจก็ไม่ได้พึ่งพาตลาดจีนมากนักแล้ว โดยปัจจุบันตลาดนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 8 %
ส่วนแผนการขยายธุรกิจโรงแรมในปีหน้า เซ็นทารา จะเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 8 แห่ง ทั้งที่เซ็นทาราเป็นเจ้าของและการรับบริหาร โดยจะมีการลงทุนโรงแรม 2 แห่งที่ลงทุนเองและร่วมทุน ได้แก่ 1.การร่วมลงทุนกับบริษัทไทเซอิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อเตรียมเปิดให้บริการ โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ โอซาก้า เป็นโรงแรม 3 ดาว ในปีหน้า มูลค่าโครงการรวมกว่า 12.7 พันล้านเยน แบ่งเป็นเงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 5.3 พันล้านเยน
โดยบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และบริษัทไทเซอิ ลงทุนในสัดส่วน 50:50 และเป็นเงินทุนสินเชื่อโครงการประมาณ 7.4 พันล้านเยน ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งที่ 2 ในญี่ปุ่น ณ ย่านนัมบะ 2.การเปิดโรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ กระบี่ ในปลายปีหน้า ที่ได้รีโนเวทใหม่จากเดิมเป็นโรงแรมเซ็นแกรนด์ กระบี่ รวมไปถึงการรับบริหารโรงแรม 6 แห่ง อาทิ ในเวียดนาม เนปาล กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้เซ็นทารายัง ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ NUO International ผนึกกำลังเชิงกลยุทธ์ เพื่อพัฒนาแบรนด์และขยายธุรกิจสู่ตลาดจีน ไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้