เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา จัดว่าเป็น “ธีม โฮเทล” แห่งแรกในประเทศไทย บนพื้นที่ 43 ไร่เศษในเมืองพัทยา ซึ่งเกิดจากไอเดียของ “สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์” ที่ได้นำคอนเซ็ปต์จากเซ้าท์แอฟริกา และสหรัฐอเมริกามารวมกัน จนเกิดคอนเซ็ปต์ “Lost World” ซึ่งเปิดให้บริการมานานกว่า 15 ปี ล่าสุดเพิ่งจะเปิดตัวโฉมใหม่ หลังทุ่มงบกว่า 1,400 ล้านบาท รีโนเวทโรงแรมครั้งใหญ่ สร้างให้เป็นแฟล็กชิพ ธีมรีสอร์ท เพื่อมองโอกาสในการขยายแบรนด์ออกสู่ต่างประเทศ
นายคณิน ตั้งเติมพงษ์ ผู้จัดการโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา กล่าวว่า การปรับปรุง เราได้ประเมินตลาด และความต้องการของลูกค้า โดยเน้นปรับปรุงโรงแรมให้ร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงรักษาความเป็น “The only theme resort in Thailand” และธีม “Lost World”
การปรับปรุงที่เกิดขึ้น จึงยังต้องคง จุดขายความเป็นธีมรีสอร์ท ที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Selling Point - USP) ของโรงแรมไว้ โดยเราเน้นกลยุทธ์หลัก คือ การนำเสนอประสบการณ์แบบ “All in one” ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มครอบครัว ลูกค้ากลุ่มนี้มักต้องการสถานที่ที่ลูก ๆ ได้ดื่มด่ำกับ ธรรมชาติ กิจกรรมต่างๆ และสนุกสนานจากประสบการณ์ที่ได้รับ
ดังนั้นในการปรับปรุงครั้งใหญ่นี้ นอกจากโรงแรมจะได้อัปเกรดห้องพัก 553 ห้อง ให้ทันสมัยมากขึ้น ตกแต่งในธีม “Lost World” ทุกห้องยังคงมองเห็นทะเล ทั้งโรงแรมยังให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานในห้องพัก เช่น ระบบแสงสว่างอัจฉริยะ ปรับแสงได้ตามความต้องการของลูกค้า ระบบปรับอากาศ ช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดของโรงแรมในเครือเซ็นทารา การติดตั้งระบบเซ็นเซอร์แทนการเสียบคีย์การ์ด เมื่อลูกค้าเข้าถึงห้องพัก แอร์จะเปิดเอง และเมื่อลูกค้าออกจากห้อง อุณหภูมิจะถูกปรับให้สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
รวมถึงเตรียมติดตั้ง Energy Display หน้าจอแสดงผลการใช้พลังงานในห้องพัก และต่อไปทางโรงแรมจะมีการออกแบบให้เป็น “เกม” ให้ลูกค้าสามารถเข้าร่วมกิจกรรม Energy Saving เช่น การรักษาระดับอุณหภูมิที่เหมาะสม (25-27 องศาเซลเซียส) หากลูกค้าสามารถใช้พลังงานได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด อาจจะได้รับรางวัลตอบแทน
ขณะที่สวนน้ำ ซึ่งเป็นไฮไลท์ ก็มีการอัปเกรดสวนน้ำ และเพิ่มเครื่องเล่นใหม่ เช่น Giant Slider และ Rain Forest รวมถึงการปรับปรุงระบบน้ำใน Lazy River ด้วยการเพิ่มปั๊ม และระบบฟิลเตอร์ เพื่อให้น้ำใสและสะอาดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เล่นสวนน้ำได้สนุกขึ้นกว่าเดิม รวมถึงโซน The Lost world Adventure Land) ที่เป็น Kids Club ขนาดใหญ่ มีเครื่องเล่นต่างๆ รวมถึงการเพิ่ม Education Tool เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ไม่เพียงการปรับปรุงโปรดักซ์ เพื่อให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ตาม มาตราฐานโรงแรม 5 ดาวเท่านั้น โรงแรมยังมุ่งเน้นด้านการบริการ และสร้างประสบการณให้นักท่องเที่ยว โดยทางโรงแรมได้จ้างทีมเอนเตอร์เทนเมนท์มืออาชีพจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ มาสร้างสรรค์ออกแบบ กิจกรรมที่สนุก และแตกต่าง เช่น Aqua Aerobic, การแข่งสกู๊ตเตอร์ใต้น้ำ, Kids Party, Kids Disco, Movie Night และ Scientific Games
หัวใจในการให้บริการ คือ คุณภาพการบริการ ซึ่ง “Product ต้องไปกับ Service” และการบริการต้องเหนือความคาดหมาย เช่นเดียวกับการรักษาพนักงานเดิมที่ลูกค้าคุ้นเคย กับคุณภาพบริการถือเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความประทับใจ
อีกทั้งการปรับปรุงโรงแรมที่เกิดขึ้น ยังทำให้โรงแรมสามารถใช้กลยุทธ์ด้านราคา ในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเพราะส่งผลให้สามารถปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพัก (Room Rate) ได้
โดยปัจจุบันอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ เกือบ 7,000 บาทต่อคืน ซึ่งสูงกว่าเรทเดิมที่อยู่ประมาณ 5,000 ปลายๆ ถึง 6,000 บาท และช่วงสุดสัปดาห์ ห้องธรรมดา อาจสูงถึง 13,000 บาทต่อคืน เนื่องจากลูกค้ามองว่าราคานี้ “คุ้มค่ากับราคา” เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับ
ทั้งนี้โรงแรมจะเน้นการบริหารจัดการรายได้ โดยใช้กลยุทธ์ Dynamic (ยืดหยุ่นสูง) ในการวางแผนราคา ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เนื่องจากตลาดพัทยาเป็นการจองกระชั้นชิด รวมถึงเน้นการกระจายฐานนักท่องเที่ยว ซึ่งเซ็นทารา มี Sale Office/Sales Representative ประมาณ 80 กว่าสาขา เพื่ออัปเดตข้อมูลและแพ็กเกจใหม่ๆ
สิ่งสำคัญคือการ “ไม่ยึดติดกับตลาดใดตลาดหนึ่ง” ซึ่งช่วยลดผลกระทบ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน เช่น ช่วงที่นักท่องเที่ยวจีนชะลอตัว โรงแรมสามารถเติมเต็มด้วยลูกค้าชาติอื่น เช่น ออสเตรเลีย หรือ งานสัมมนาของคนไทย
การตอบรับของโรงแรมในปัจจุบัน ถือว่าไปได้ดีมาก เพราะแม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น แต่จากเอกลักษณ์ของโรงแรมที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว ทำให้โรงแรมยังคงรักษาอัตราการเข้าพักได้ดีคาดการณ์ว่าอัตราเฉลี่ยตลอดปีจะใกล้เคียง 80% และเชื่อว่าธุรกิจในปีหน้าจะยิ่งดี เนื่องจากโปรดักซ์ของโรงแรมจะอัปเกรดแล้วเสร็จสมบูรณ์ ที่จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสบการณ์ให้ลูกค้าอย่างเต็มที่
นายคณิน ยังกล่าวต่อถึงวิสัยทัศน์ และเป้าหมายของเซ็นทารา คือ การก้าวไปเป็นธุรกิจโรงแรมระดับโลกโดยมีหลักการสำคัญ คือ การวางรากฐานความเป็นไทย โดยเซ็นทาราเป็นเชนโรงแรมไทย ที่มีเจ้าของเป็นคนไทย แต่สามารถขยายไปเปิดทั่วโลกได้ โดยใช้จุดแข็งเรื่องการบริการแบบไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในภาคส่วนบริการ
จากจุดแข็งนี้ทำให้เซ็นทารา มองโอกาสในการขยายแบรนด์โรงแรมได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ต่างๆ โดยในส่วนของการขยายแบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ” (Grand Mirage) ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว ในแบบธีม รีสอร์ท แบรนด์นี้ยังมีเพียงแห่งเดียวที่พัทยา และเป็นแห่งเดียวในประเทศไทย
โดยโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา จะเป็น “แฟล็กชิพ” (Flagship) ซึ่งในปัจจุบันกำลังพิจารณาการขยายแบรนด์ ไปยังต่างประเทศ โดยมองทั้งการเป็นเจ้าของ และการบริหารจัดการ
สำหรับภาพรวมตลาดโรงแรมในพัทยา แม้จะมีการแข่งขันสูง ซึ่งปัจจุบันพัทยามีโรงแรม รวมประมาณ 700 กว่าแห่ง คิดเป็นห้องพักกว่า 60,000 ห้อง (รวมห้องพักทุกประเภท) แต่ด้วยความที่พัทยายังคงเป็นเดสติเนชั่นยอดนิยม
ทั้งยังเป็นฮับที่สะดวกทั้งด้านการเดินทาง และการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เพราะมีโรงพยาบาลชั้นนำ ทำให้ในช่วงไฮซีซันนี้หลายโรงแรมมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 80-90%
ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา ที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้น Entertainment มาสู่การเป็น Family Segment มากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการที่เชนโรงแรมระดับ 5 ดาวหลายแห่งเริ่มเข้ามาลงทุน เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของตลาด
รวมถึงเมืองพัทยาก็จะมีการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อาทิ เทศกาลพลุนานาชาติพัทยาและมีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการจัดงาน Tomorrowland ในพื้นที่พัทยา ให้ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวพัทยา คาดการณ์ ว่านักท่องเที่ยวในพัทยา (รวมทั้งไทยและต่างชาติ) จะเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา คาดว่าจะอยู่ที่ ประมาณ 6 ล้านคน นายคณิน กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,147 วันที่ 9 - 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568