AOT ชงครม.ปรับแผนลงทุนขยาย 2 สนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง 2.2 แสนล้าน

31 ต.ค. 2568 | 05:07 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ต.ค. 2568 | 05:28 น.

ทอท.เตรียมชง ครม. ไฟเขียวปรับแผนลงทุน 2 สนามบิน สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง 2.2 แสนล้านบาท เตรียมเพิ่มพื้นที่ East Expansion 30% พร้อมเข็นแผนแม่บทพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ “South Terminal-รันเวย์ 4” ดันสุวรรณภูมิรับ 120 ล้านคน สู่ Aviation Hub เต็มรูปแบบ เสนอเปลี่ยนแปลงดอนเมืองเฟส 3

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT หรือ ทอท. เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงการลงทุนหลัก 3 โครงการใน 2 สนามบิน ได้แก่ การพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง รวมมูลค่าลงทุนกว่า 2.2 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

ปัจจุบัน 6 สนามบิน ทอท. มีส่วนแบ่งตลาดถึง 86% ของผู้โดยสารทั้งหมด โดยปีงบประมาณที่ผ่านมา มีผู้โดยสารรวม 125 ล้านคน เติบโต 5.6% (จาก 119 ล้านคนในปีก่อนหน้า) ขณะที่การเติบโตรายสนามบิน พบว่า สนามบินดอนเมืองเติบโตสูงสุด 7.5% ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิ เติบโต 4.6% และคาดการณ์ว่า จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอีก 6-7% หรือ มีจำนวนผู้โดยสารอาจสูงถึง 133 ล้านคน

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT หรือ ทอท.เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทอท.อยู่ระหว่างเตรียมแผนเสนอครม. เพื่อขออนุมัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงการลงทุนหลัก 3 โครงการ ใน 2 สนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง เนื่องจากมีการแก้ไขในรายละเอียด รวมถึงการปรับปรุงแผนแม่บทการลงทุนใหม่ ให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท

ปวีณา จริยฐิติพงศ์

ชงครม.เคาะ 2 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ

สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะเสนอครม.อนุมัติใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.ขออนุมัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ของอาคารผู้โดยสาร (Main Terminal) ขยายการรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 80 ล้านคนต่อปี ซึ่งโครงการนี้ ครม.เคยอนุมัติตั้งแต่ปี 2559 แต่ล่าสุดตามแผนลงทุนใหม่จะขยายขนาดพื้นที่ในการลงทุนเพิ่มขึ้น จากเดิม 60,000 ตารางเมตร เป็น 80,000 ตารางเมตร ซึ่งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่า มีนัยยะ เพราะพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ทอท.จึงต้องนำเรื่องเข้า ครม. อีกครั้ง 

ทอท.ปรับแผนลงทุนขยายสนามบินสุวรรณภูมิ

สำหรับการขอขยายพื้นที่ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก เนื่องจากด้วยช่วงเวลาที่ผ่านมานาน ทำให้การพัฒนาในโครงการนี้ล่าช้า หากทอท.จะลงทุนตามแผนเดิมที่ครม.เคยอนุมัติไว้ที่ 60,000 ตารางเมตรจะไม่ทันการ ดังนั้นการเพิ่มพื้นที่ในการลงทุนจะช่วยให้รองรับผู้โดยสารได้ดีกว่าเดิม ซึ่งการขยายพื้นที่เพิ่ม ทำให้ทอท.ต้องลงทุนในโครงการนี้ประมาณ 12,000 ล้านบาท จากงบลงทุนเดิมประมาณ 7,000 ล้านบาท

รวมทั้งยังมีโครงการระบบสายพานกระเป๋าขาเข้า ในการนำกระเป๋าจากอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ อาคาร Satellite เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร เพื่อให้การขนส่งกระเป๋ารวดเร็วยิ่งขึ้น ใช้งบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพื้นที่เช็กอินและรับกระเป๋า หากครม. อนุมัติแผนปรับปรุงแก้ไขนี้ ทอท.สามารถดำเนินการประมูลได้ทันที เนื่องจากเอกสาร TOR พร้อมแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงต้นปีหน้า

เสนอแผนแม่บทสร้างเซ้าท์เทอร์มินัล

2.การนำเสนอแผนแม่บท (Master Plan) การปรับปรุงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และการพัฒนาอาคารโครงการพัฒนาพื้นที่ด้านทิศใต้ (South Develop ment) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่า จะยื่นเสนอต่อสศช. และกระทรวงคมนาคมในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป โดยการปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศสุวรรณภูมิ เป็นไปตามระเบียบของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการทุก 5 ปี และในปี 68 จะครบรอบ 5 ปีพอดี

โครงการพัฒนาอาคารโครงการพัฒนาพื้นที่ด้านทิศใต้ จะประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) ขยายการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเป็น 120 ล้านคนต่อปี โดยอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ จะมีพื้นที่ 4 แสนตรม. และอาคารเทียบเครื่องบิน 6 แสนตรม. รองรับผู้โดยสาร 70 ล้านคนต่อปี

แผนแม่บทพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

การสร้างรันเวย์เส้นที่ 4 เพิ่มการรองรับเที่ยวบิน 26 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิขยายการรองรับเที่ยวบิน 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ระบบถนน ส่วนควบ เช่น Power Station เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน และอาคารส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องด้านการบิน เช่น อาคารจอดรถ ,ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO),คาร์โก้ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 170,000 ล้านบาท เพื่อให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็น Aviation Hub อย่างแท้จริง

แบ่งการลงทุนเป็นเฟส

ทั้งนี้การลงทุนอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ ทอท.จะใช้หลักการ Smart Investment แบ่งการลงทุนเป็นเฟส โดยจะดูการเติบโตของผู้โดยสาร แล้วสร้างส่วนประกอบส่วนควบต่าง ๆ ให้รองรับผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทยอยลงทุน ไม่ได้ลงทุนพร้อมกันทั้งหมดในครั้งเดียว

การแบ่งเฟสจะทำให้ South Terminal สามารถเปิดให้บริการได้เร็วขึ้น และทำให้เกิดการรองรับผู้โดยสารได้ดี ทอท.มีรายได้ที่ดี มีต้นทุนการบำรุงรักษาต่ำ (low maintenance cost) และต้นทุนการดำเนินการต่ำ (low operation cost) หากเทียบกับต้องลงทุนพร้อมกันในครั้งเดียว ขณะที่เริ่มใช้ South Terminal จะปิดส่วนของ Main Terminal บางส่วนเพื่อปรับปรุง ทำให้บุคลากรหรือ Maintenance Cost ย้ายไปอยู่ South Terminal ทำให้เงินลงทุนคุ้มค่าขึ้น ทั้งนี้เมื่อ ครม.อนุมัติแผนแม่บทแล้ว ทอท.จึงจะดำเนินออกแบบ South Terminal ต่อไป

สำหรับแผนการลงทุนเบื้องต้น ทอท.มองว่า สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการก่อนเป็นอันดับแรก คือ ระบบถนนใหม่ ต้องปรับสภาพดิน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ปี ขณะเดียวกันก็สามารถออกแบบ South Terminal และส่วนควบต่างๆ (เช่น โรงผลิตน้ำเย็น, อาคารจอดรถ, อาคารเก็บน้ำ) ไปพร้อมกันได้

ส่วนระยะเวลาในการก่อสร้าง ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการก่อสร้างที่กำลังศึกษาอยู่ หากใช้วิธี Design-Bid-Build  ต้องใช้เวลาออกแบบประมาณ 1 ปีครึ่ง และกระบวนการ Bidding อาจใช้เวลาถึง 2 ปีถึง 2 ปีครึ่ง ก่อนเริ่มก่อสร้างได้ และหากใช้วิธินี้ก็ต้องเสนอ ครม. อนุมัติ จะสามารถออกแบบและก่อสร้างไปพร้อม ๆ กันได้ ทำให้ ย่นระยะเวลาได้ประมาณครึ่งปี ถึง 1 ปี คาดว่ากว่าการขยายในส่วนนี้จะสร้างแล้วเสร็จต้องใช้เวลาถึงปี 2576

ปรับเปลี่ยนแผนลงทุนขยายสนามบินดอนเมืองเฟส 3

ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ในส่วนของการออกแบบโครงการลงทุนขยายสนามบินดอนเมืองระยะที่ 3 ขณะนี้การออกแบบโครงการที่ดอนเมือง ใกล้แล้วเสร็จแล้ว แต่ทอท.ก็เตรียมจะต้องนำเรื่องเข้าครม.เพราะมีการขอเสนอแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นกัน จากเดิมที่โครงการนี้ ครม.เคยอนุมัติเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่ปี 2563 แต่ด้วยระยะเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้มีบางสิ่งบางอย่างที่วางแผนไว้มีการเปลี่ยนแปลงไป

สำหรับการขอแก้ไขแผนพัฒนาสนามบินดอนเมืองที่จะเสนอ ครม.มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อาทิ เดิมมีการวางแผนไว้ว่าจะมีจำนวนหลุมจอดอากาศยาน 16 หลุมจอด แต่เมื่อมีการปฏิบัติงานจริง พบว่า 16 หลุมนั้น ชิดกันเกินไป ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติการได้ จึงต้องมีการแก้ไขจำนวนหลุมจอดจาก 16 หลุม เป็น 14 หลุม ส่วน 2 หลุมที่ลดออกไปจากตัว Terminal จะถูกนำไปทำเป็นพื้นที่สำหรับ Aircraft Remote Parking แทน

รวมถึงการรวมอาคาร 2 แห่งเข้าด้วยกัน คือ อาคาร Airline Building กับ อาคาร Airport Operation Building เนื่องจากเดิมมีการเขียนแผนไว้ว่ามี 2 อาคาร การรวบเป็นอาคารเดียวจึงต้องขอเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน

ส่วนการลงทุนแผนหลักของโครงการก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น อาคารผู้โดยสารใหม่ (Terminal 3) มีพื้นที่ใช้สอยประมาณกว่า 166,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้สูงสุด 23 ล้านคนต่อปี อาคารJunction Terminal (อาคารพื้นที่เชิงพาณิชย์)

ทั้งนี้ ทอท.ยังมีแผนปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศ ร่วมกับอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สามารถรองรับผู้โดยสารภายในประเทศได้สูงสุด 27 ล้านคนต่อปี รวมพื้นที่ใช้สอยมากถึง 240,000 ตารางเมตร อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด แต่จำนวนการรองรับผู้โดยสารเต็มที่ทั้งหมด ของท่าอากาศยานดอนเมืองยังคงเป็น 40 ล้านคน และ วงเงินลงทุนของโครงการปัจจุบันยังคงเป็น 36,000 ล้านบาท

เล็งขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก

นางสาวปวีณากล่าวต่อว่า ทอท.กำลังพยายามปรับโครงสร้างรายได้ให้สมดุลตามมาตรฐานโลก โดยเน้นให้สัดส่วนรายได้หลักกลับมาจากการ “ให้บริการสนามบิน” (รายได้ด้านการบิน Aero) ไม่ใช่การพึ่งพาธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการบิน (Non-Aviation) เพียงอย่างเดียว โดยแผนในการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge : PSC) ขณะนี้ทอท.ศึกษาเรียบร้อย และได้ส่งผลการศึกษาของการปรับค่า PSC (ปรับใหญ่) ให้ CAAT แล้ว เพื่อเตรียมเสนอคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ต่อไป ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยั่งยืนทางด้านรายได้ของการบินสำหรับประเทศ ต้องมีเงินเหลือพอที่จะไปลงทุนด้วย

“ปัจจุบันรายได้ของทอท.ด้าน Aero กับ Non-Aero จะเห็นได้ว่า มีสัดส่วน 50% เท่ากัน ถ้าไม่มีรายได้ของ Non-Aero จะขาดทุนทันที ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะผู้ให้บริการสนามบินในตลาดโลกล้วนมีสัดส่วน Aero มากกว่า 60% อีกประมาณ 30% เป็น Non-Aero โดยรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการบินจะเป็นรายได้หลัก”นางสาวปวีณากล่าว

ดังนั้นผู้บริการสนามบินจะต้องสร้างรายได้ให้เกิดความสมดุลและถูกต้อง ซึ่งการขึ้นค่า PSC จะคำนวณตามมาตรฐาน ICAO, IATA และปัจจุบันที่สนามบินสุวรรณภูมิทอท.เก็บเพียง 730 บาท ขณะที่สนามบินอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น สนามบินฮ่องกง สนามบินนาริตะ มีรายได้ของสนามบินประกอบด้วย 3 ส่วน ทั้งการเก็บขาเข้าและขาออก รวมถึง Transfer ด้วย