KEY
POINTS
เกาะสมุยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ท่ามกลางการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนท์ ที่มีกำลังซื้อสูง และนักธุรกิจต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเหล่านี้มาพร้อมกับความเสี่ยงจากการแทรกซึมของธุรกิจสีเทา และธุรกิจผิดกฎหมาย กำลังกดดันผู้ประกอบการท้องถิ่น และท้าทายความยั่งยืนของสมุย โจทย์ใหญ่ คือ การพัฒนาควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืน และการป้องกันภัยคุกคามจากธุรกิจสีเทารุกคืบ
นายรัชชพร พูลสวัสดิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวถึง ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวบนเกาะสมุยว่า สมุยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ เช่น ชาวอิสราเอล โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีคริปโต (Crypto Millionaires) ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจท้องถิ่น การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และการขยายตัวของธุรกิจบริการ แต่ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความเสี่ยงจากการแทรกซึมของเงินเทาและธุรกิจผิดกฎหมาย
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดคือการขยายตัวของตลาดอิสราเอล นักท่องเที่ยวจากประเทศนี้เพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง และมีการใช้จ่ายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย นักธุรกิจคริปโตหลายรายเลือกพักระยะยาว ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในธุรกิจบนเกาะ ข้อมูลจากโรงแรมบางแห่งระบุว่า ห้องพักกว่า 77% ถูกครอบครอง โดยชาวอิสราเอล ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสูงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ
แม้การมาของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ แต่ก็มีความเสี่ยงไม่น้อย เนื่องจากเงินทุนที่หมุนเวียนส่วนหนึ่งมาจากคริปโตที่ตรวจสอบยาก และมีการใช้ช่องทางในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจบริการเป็นเครื่องมือฟอกเงิน ส่งผลให้เกิดภาวะ “เงินเทา” แทรกซึมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาที่ตามมาคือการเกิดธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น การตั้งบริษัทนอมินีโดยใช้ชื่อคนไทยบังหน้าเพื่อครอบครองกิจการ รวมถึงการให้บริการนำเที่ยวโดยไกด์เถื่อน การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้กดดันผู้ประกอบการท้องถิ่น และกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตลาดท่องเที่ยวไทย หากไม่ควบคุมและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง อาจทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของสมุยเสียสมดุลในระยะยาว
“การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเป็นเรื่องสำคัญ แต่ต้องควบคู่ไปกับการป้องกันธุรกิจผิดกฎหมาย มิฉะนั้นผลเสียจะตกอยู่กับผู้ประกอบการไทยและภาพลักษณ์ของสมุย”.
นอกจากแรงกดดันด้านเงินลงทุนแล้ว โครงสร้างพื้นฐานยังเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ปัญหาการจราจรบนเกาะสมุยกำลังกลายเป็นอุปสรรคหลักต่อการท่องเที่ยว การก่อสร้างถนนบายพาสรอบเกาะ ถูกมองว่าจะเป็นทางออกในการลดความแออัดและกระจายเส้นทางคมนาคม
อีกหนึ่งโครงการขนาดใหญ่ที่ถูกจับตาคือ “แลนด์บริดจ์สุราษฎร์–ขนอม” มูลค่าลงทุนกว่า 55,000 ล้านบาท แนวคิดโครงการนี้ คือ การเชื่อมเกาะสมุยกับแผ่นดินใหญ่ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการเดินทางของนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบต่อแหล่งดำน้ำที่เกาะเต่า รวมถึงการจัดการน้ำเสียและขยะที่ยังไม่มีระบบรองรับเพียงพอ
ขณะเดียวกันสนามบินสมุยที่พัฒนาโดยภาคเอกชนก็กำลังเดินหน้าโครงการขยายเฟสใหม่ ด้วยเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถจาก 3 ล้านคนต่อปี เป็น 6 ล้านคนต่อปี พร้อมสร้างอาคารผู้โดยสาร Private Jet Terminal คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 โครงการนี้มีเป้าหมายรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม high-spending และนักธุรกิจต่างชาติ ที่ต้องการความสะดวกและบริการระดับพรีเมียม
อีกทั้งท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง นายรัชชพร เสนอว่า สมุยควรเปลี่ยนแนวคิดการท่องเที่ยวจากแบบ “ชมและซื้อ” หรือ 2C (sightseeing consumption) ไปสู่ Experience Tourism ที่นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมจริงในกิจกรรมท้องถิ่น เช่น การเรียนทำอาหารไทย การปั้นเครื่องดินเผา การเที่ยวสวนผลไม้ หรือการใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน นอกจากนี้การสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made Attraction ยังเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มมูลค่าและสร้างความแตกต่างให้กับเกาะ
นายรัชชพร ยังกล่าวต่อว่า แม้เชนโรงแรมระดับโลกจะเข้ามาลงทุนในสมุย แต่ผู้ประกอบการท้องถิ่นยังคงมีบทบาทสำคัญ หากจับตลาดได้ถูกต้องและนำเสนอประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว การรวมกลุ่มผู้ประกอบการยังสามารถช่วยสร้างความเข้มแข็ง ป้องกันการครอบงำจากธุรกิจต่างชาติ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้มาเยือน
สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือความยั่งยืนในการพัฒนา สมุยในฐานะเกาะท่องเที่ยวที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะ น้ำเสีย และการปกป้องระบบนิเวศ แนวทาง Green Tourism และ Sustainable Tourism จะช่วยรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สมุยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นในระยะยาว
“สมุยไม่ใช่เพียงเกาะที่มีธรรมชาติสวยงาม แต่เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และชุมชน หากมีการวางแผนและควบคุมที่ดี สมุยจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน” นายรัชชพร กล่าวทิ้งท้าย