สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 5 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) หรือ โดรน ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1-15 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
จากการประเมินสถานการณ์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงหลังมีประกาศฉบับที่ 4 ซึ่งมีผลบังคับใช้ 15-31 สิงหาคม 2568 พบว่า สถานการณ์ชายแดนโดยรวมเริ่มคลี่คลาย จึงผ่อนคลายมาตรการให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถทำการบินโดรนได้ทุกวัตถุประสงค์ แต่ยังต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนด
ประกาศเพิ่มเติม โดยมีเงื่อนไขสำคัญในการบินโดรน คือ
สำหรับโดรนของราชการทหาร ตำรวจ ศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรฯ และสำนักข่าวกรองฯ สามารถปฏิบัติการได้ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้เฉพาะโดรนของศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ หากมีการบินในพื้นที่ห้ามบิน ขอความร่วมมือแจ้งข้อมูลล่วงหน้าผ่าน UAS Portal หรือ uasportal.caat.or.th และ ศบตอ.น[email protected] และหน่วยงานความมั่นคงที่ในพื้นที่เกี่ยวข้อง
หากพบเห็นการใช้งานโดรนที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรืออาจเป็นภัยต่อความมั่นคง ที่ฝ่าฝืนประกาศนี้ ให้แจ้งข้อมูล ได้แก่ วัน เวลา สถานที่ที่พบเห็น ลักษณะของโดรน และภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอ (ถ้ามี) ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเร็วผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ดังนี้
• ศูนย์แจ้งเหตุใกล้พื้นที่ เช่น สถานีตำรวจท้องที่ หน่วยทหาร หรือหน่วยความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้น ๆ
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังมีประกาศเรื่องปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone)ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา พบว่า จำนวนโดรนที่ขอขึ้นทะเบียนกับ CAAT อยู่ที่ 7,785 ลำ เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันยายน 2567 - กรกฎาคม 2568
จำนวนผู้บังคับโดรนที่มีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม ซึ่งทั้งหมดคือโดรนเพื่อการเกษตร ขึ้นทะเบียนกับ CAAT อยู่ที่ 8,349 ราย เพิ่มขึ้นมากถึง 100 เท่า