จากข้อมูลของกองกิจการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม – กรกฏาคม 2568) มีกองถ่ายทำต่างชาติเข้ามาถ่ายทำในไทยแล้วถึง 322 เรื่อง สร้างรายได้หมุนเวียนสู่ประเทศกว่า 3,333 ล้านบาท โดยททท. ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้น 3 บทบาทที่สำคัญ ได้แก่
1.การประสานงานและอำนวยความสะดวก (Ease of Filming) ให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติ ทั้งในระดับท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อให้การถ่ายทำในประเทศไทยดำเนินไปอย่างสะดวก ราบรื่น และมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมามี มิวสิควีดีโอ ซีรีส์ และภาพยนตร์ชื่อดังเข้ามาถ่ายทำในไทยหลายเรื่อง
อาทิ ภาพยนตร์ “FAST & FURIOUS 9”ถ่ายทำในจังหวัดกระบี่, พังงา และสุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2562 The White Lotus Season 3 ถ่ายทำเมื่อเดือนก.พ. 2567 Jurassic World : Rebirth ถ่ายทำในประเทศไทยในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. 2567 โดยเลือกโลเคชัน 3 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ กระบี่ พังงา และตรัง
นอกจากนี้ ททท. ยังได้ร่วมกับพันธมิตร Netflix โปรโมทการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมไทยผ่านภาพยนตร์อาทิ Midnight Asia: กิน เต้น ฝัน, Hidden Gem รวมทั้งส่งเสริมการนำละครไทยไปฉายที่ต่างประเทศ อาทิ ททท. สำนักงานกรุงโซล เคยนำภาพยนตร์และซีรีส์ไทยไปฉายในประเทศเกาหลีใต้ อาทิ ละครเรื่องทองเอก หมอยาท่าโฉลง ข้าวสารแทงโก้, ภาพยนตร์ เฟรนด์โซน ร่างทรง ฉลาดแกมโกง
2.ททท. ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผลักดันมาตรการจูงใจผ่านการคืนเงิน (Cash Rebate) แก่กองถ่ายต่างชาติในอัตรา 15–30% และยกเว้นการจำกัดวงเงินคืนต่อเนื่อง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 เป็นต้นไป เพื่อดึงดูดการลงทุนจากกองถ่ายภาพยนตร์ระดับโลกให้เข้ามาใช้โลเคชันในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
3.ดำเนินโครงการ “Location Thailand” มุ่งประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางตามรอยภาพยนตร์ (Film-Induced Tourism) ยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ กระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักไปยังเมืองน่าเที่ยวหรือพื้นที่ถ่ายทำที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง กระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่น
โดยจะเน้นดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ต่างชาติ (Film Industry Engagement) โดยจัดกิจกรรม FAM Trip ร่วมกับ Thailand Film Office เชิญผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และสตูดิโอภาพยนตร์ชั้นนำมาเยี่ยมชมโลเคชันใหม่และเมืองรองที่มีศักยภาพ นำเสนอศักยภาพของสตูดิโอ อุปกรณ์ เทคนิคพิเศษ และทีมงานมืออาชีพ จัดกิจกรรม Market Briefing, Table Top Sales และ Networking Session เพื่อพบปะผู้ประกอบการไทย แนะนำสิทธิประโยชน์ เช่น มาตรการคืนเงิน (Cash Rebate) และการยกเว้นภาษีสำหรับนักแสดงต่างชาติ
รวมไปถึงการกระตุ้นนักท่องเที่ยวผ่านอิทธิพลของภาพยนตร์ (Tourism Activation via Film) โดยจัดกิจกรรม Outdoor Screening & Follow the Scene ฉายภาพยนตร์ หรือเบื้องหลังการถ่ายทำ ณ สถานที่จริงที่ใช้เป็นโลเคชัน ผลิตคอนเทนต์เบื้องหลัง (Behind the Scene) และเปิดแคมเปญ “My Scene in Thailand” เชิญชวนนักท่องเที่ยวให้โพสต์ภาพหรือคลิปวิดีโอในสถานที่ถ่ายทำผ่านบัญชีโซเชียลมีเดียของตนเอง เช่น YouTube, TikTok และ IG Reels เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นกระแสตามรอยผ่านพลังของ micro-influencers
อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว โดยนำเทคโนโลยีระบบ GeoFencing มาใช้เพื่อแจ้งเตือนข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและปรากฏการณเบื้องหลังเมื่อผู้ใช้อยู่ใกล้สถานที่ถ่ายทำ การพัฒนา AR Filter เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงให้นักท่องเที่ยวสามารถ “ถ่ายภาพคู่ฉากในตำนาน”
ทั้งยังร่วมมือกับ OTA และผู้ประกอบการโรงแรม จัดทำแพ็กเกจตามรอยซีรีส์/ภาพยนตร์ และสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ถ่ายทำ ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของแรงงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและกองถ่ายทำจากต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ททท. ยังได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์ เช่น “Amazing Film Festival Experience” ซึ่งการสนับสนุนดังกล่าวช่วยส่งเสริม “Film-Induced Tourism” หรือการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระจายรายได้สู่ชุมชน สร้างอาชีพ และยกระดับการรับรู้แบรนด์ “Amazing Thailand” ผ่านสื่อบันเทิงระดับสากล พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะ Film Destination
ผู้ว่าททท. กล่าวว่า ททท.ได้ใช้พลังของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) และต่อยอดส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยแต่ละภูมิภาคของไทยล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ถูกนำไปใช้เป็นฉากสำคัญในผลงานระดับโลกหลายเรื่อง ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในการต่อยอดประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของไทยคู่ขนานไปด้วย
อาทิ เชียงใหม่ ได้รับเลือกให้เป็นฉากหลังของภาพยนตร์จีนชื่อดังอย่าง “Lost in Thailand” (2012) พิษณุโลกได้รับเลือกเป็นฉากในภาพยนตร์แนวไซไฟฟอร์มยักษ์เรื่อง “The Creator” (2023) ภูเก็ต ได้รับเลือกให้เป็นฉากของภาพยนตร์ “Meg 2: The Trench” (2023)
ปีที่ผ่านมา ททท. ได้ร่วมสนับสนุนการถ่ายทำซีรีส์เรื่อง “The White Lotus” ซีซั่น 3 พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่คณะถ่ายทำ (Ease of Filming) และยังได้ถือโอกาสเปิดตัวเว็บไซต์ The White Lotus Thailand (https://thewhitelotus.thailandinsider.com) อย่างเป็นทางการ
ช่วงการจัดงาน The White Lotus Season 3 Bangkok Premiere Screening เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทย ตามรอยซีรีส์ชื่อดัง The White Lotus (Season 3) ของค่าย HBO ที่ถ่ายทำในพื้นที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวชาวสหรัฐฯ เกิดความสนใจวางแผนเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทยตามรอยซีรีส์
โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกที่ซีรีส์เรื่องนี้ใช้โลเคชั่นถึง 3 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต และเกาะสมุย สะท้อนถึงความหลากหลายและศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวไทยในการรองรับการถ่ายทำภาพยนตร์ระดับสากล ซึ่งภายหลังจากซีรีส์ออกฉายโลเคชั่นเหล่านี้โดยเฉพาะสมุย ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ยอดจองโรงแรมเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบปีต่อปี ททท. ใช้ซีรีส์เป็นเครื่องมือส่งเสริม Soft Power พัฒนาแพ็กเกจท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์ ทั้งตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และจีน ต่อยอดหลังฉายซีรีส์
เช่น สำนักงานททท.ลอสแอนเจลิส เน้นขับเคลื่อนตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ อาทิ Gen Y/Z, LGBTQIA+, Asian Americans, Luxury และ Sports รวมถึงการใช้กระแส White Lotus Effect และผลักดันการเปิดเส้นทางบินตรงไทย-สหรัฐฯ การสนับสนุนพันธมิตรนำเสนอเส้นทางตามรอย The White Lotus โดยสนับสนุนบริษัทนำเที่ยว Classic Vacations และ EF Ultimate Break นำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวในหมวด Luxury ในจังหวัดกรุงเทพฯ เชียงใหม่ กระบี่ ภูเก็ต และการท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์ The White Lotus
สำนักงานนิวยอร์กสนับสนุนการท่องเที่ยวด้าน Health and Wellness สำหรับตลาดแคนาดา โดย ททท.ร่วมกับแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง 3.1 Phillip Lim ออกแบบเสื้อผ้าแนวกีฬา Limited Edition ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากซีรี่ส์ The White Lotus Season 3 เป็นต้น
ล่าสุดภาพยนตร์ Jurassic World: Rebirth ททท. เป็นส่วนหนึ่งในการประสานงานและอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำในแหล่งท่องเที่ยว และต่อยอดประชาสัมพันธ์ผ่านการจัดทำกิจกรรมตามรอยเส้นทางภาพยนตร์ Jurassic World เพื่อโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่ปรากฎในภาพยนต์ในพื้นที่ถ่ายทำ และสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่น่าสนใจเผยแพร่ผ่านทางช่องทางของ ททท. และพันธมิตรสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไป
โลเคชันใน “Jurassic World: Rebirth” ได้แก่ กระบี่ อาทิ หาดไร่เลย์ (ฉากเปิดตัว) บ้านบากัน น้ำตกห้วยโต้ คลองหรูด (คลองน้ำใส) หาดนายเหมือง ถ้ำโต๊ะหลวง เขาขนาบน้ำ เขาหงอนนาค พังงา อาทิ อ่าวพังงา ตรัง อาทิ หาด Sunset เกาะกระดาน
ภาพยนตร์ “Jurassic World : Rebirth” ได้เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. 2567 โดยเลือกโลเคชัน 3 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ กระบี่ พังงา และตรัง พร้อมใช้งบถ่ายทำในประเทศไทยกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งนอกจากการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยผ่านภาพยนตร์แล้ว ยังสร้างงานให้กับชาวไทยมากถึง 2,245 ราย ครอบคลุมทั้งทีมงานเบื้องหลัง บริษัทโปรดักชัน และผู้ให้บริการในพื้นที่ สะท้อนศักยภาพของไทยในฐานะ “World-Class Film Destination”
นอกจากความสำเร็จของ Jurassic World Rebirth แล้ว ประเทศไทยยังได้รับเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศอีกเรื่องหนึ่งคือ Alien Earth ซึ่งมีกำหนดออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 บนแพลตฟอร์ม Disney+ Hotstar เป็นซีรีส์ต่างประเทศเรื่องแรกที่ใช้เงินลงทุนในการถ่ายทำมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ใช้เงินกว่า 2,800 ล้านบาท และใช้เวลาในการถ่ายทำเกือบ 2 ปี
โดยถ่ายทำใน 7 จังหวัดทั่วประเทศไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ พังงา กระบี่ นครปฐม สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรปราการ โดยตลอดการถ่ายทำ ก่อให้เกิดการจ้างงานทีมงานชาวไทยกว่า 1,6000 คนอีกด้วย
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,120 วันที่ 7 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568