วันนี้ (วันที่ 18 เมษายน 2568) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 เวลา 13.00 น. ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) วาระสำคัญในการประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทย จะประกอบไปด้วย 3 วาระ ได้แก่
ต่อเรื่องนี้นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทยในวันนี้ ในวาระที่ 1 มีการเสนอให้ที่ประชุมอนุมัติกำหนดจำนวนบอร์ดการบินไทย ว่า ควรจะอยู่ที่ 11 คน หรือ 12 คน ซึ่งล่าสุดที่ประชุมผู้ถือหุ้น กำหนดจำนวนบอร์ดให้อยู่ที่ 11 คน
ดังนั้นในวาระที่ 2 ที่มีการพิจารณา อนุมัติแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ของบริษัทฯที่ในวาระเสนอไว้ 9 คน จึงต้องตัดเหลือ 8 คน โดยผู้ถือหุ้นได้โหวตให้ นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร ตัวแทนกรรมการ จากสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด มีคะแนนน้อยที่สุด จึงต้องตัดตัวแทนจากสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัดออกไป
ดังนั้นเมื่อรวมกับกรรมการปัจจุบันที่ยังไม่หมดวาระ 3 คน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจกานายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ และพล.อ.อ.อำนาจ จีระมณีมัย ส่งผลให้บอร์ดการบินไทยชุดใหม่จะมีทั้งหมด 11 คน
ส่วนวาระที่ 3 พิจารณาอนุมัติกำหนดกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทฯ ผู้ถือหุ้น ได้คัดเลือกให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ เป็นผู้มีอำนาจชั่วคราว ระหว่างรอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
ส่วนตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย ทางคณะกรรมการบอร์ด จะพิจารณาเลือก หลังจากการบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งการบินไทยน่าจะยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ในราวสิ้นเดือนเมษายนนี้ หรือต้นเดือนพฤษภาคมนี้ นายชาญศิลป์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ในการประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม คิดเป็น 82 % หรือราว 2.4 หมื่นล้านหุ้น จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด 2.8 หมื่นล้านหุ้น
สำหรับผลโหวตของผู้ถือหุ้น ในส่วนของการแต่งตั้งกรรมการใหม่ พบว่า นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การบินไทย ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 1.96 หมื่นล้านหุ้น
ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงมติแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการปลดล็อกภารกิจฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยพร้อมกลับเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพของตลาดทุนไทยอีกครั้ง
พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจโดยตลอดช่วงเวลาของการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งการมีวินัยในการชำระหนี้โดยไม่ผิดกำหนดนัดชำระ มุ่งมั่นสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพื่อให้ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการมากกว่า 20,000 ล้านบาทตามเงื่อนไขตามแผนฟื้นฟูฯ
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินอยู่ที่ 41,473 ล้านบาท ตลอดจนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวกโดยการปรับโครงสร้างทุนผ่านการแปลงหนี้เป็นทุนและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ณ สิ้นปี 2567 เป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าบรรลุทุกเงื่อนไขที่กำหนดในการยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราให้ความสำคัญสูงสุดกับการยกระดับคุณภาพการบริการในทุกจุดสัมผัสของลูกค้า รวมถึงการนำเสนอบริการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบินไทยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลก และพร้อมปรับตัวให้ทันกับทุกสถานการณ์
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เทคโนโลยี หรือพฤติกรรมของผู้โดยสาร โดยเรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการจัดหาฝูงบินใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตในการสร้างการเติบโตและความสามารถในการจ่ายหนี้ตามกำหนดในแผนฟื้นฟูฯ และดำเนินการแบบสายการบินเครือข่าย (Network Airline) เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ในเส้นทางภูมิภาค (Regional Route) มากขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจอื่น ๆ ทั้งการขนส่งสินค้า ครัวการบิน และการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)
เมื่อการบินไทยได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการตามที่ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอนุมัติการแต่งตั้งกรรมการบริษัทในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว จะถือว่าการบินไทยได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูฯ ได้ครบถ้วน
พร้อมเดินหน้ายกเลิกการฟื้นฟูกิจการและนำหุ้น ‘THAI’ กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการฟื้นคืนสถานะทางการเงินเท่านั้น หากยังเป็นการประกาศจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ขององค์กรที่แข็งแกร่ง และพร้อมแข่งขันในระดับสากล
โดยที่เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถการดำเนินงานในทุกมิติ ดำเนินงานอย่างโปร่งใส ภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน นายชาย เอี่ยมศิริ กล่าวเสริม