ในช่วงที่ผ่านมา แม้ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) จะผ่านพ้นวิกฤต จนสามารถกลับมาทำกำไร และเลิกเป็นภาระรัฐบาลได้นานแล้ว นับจากยกเลิกบัตร “อิลิทการ์ด” ประเภทฟรีตลอดชีพไป แต่จากมาตรการฟรีวีซ่า และการออกวีซ่าใหม่ล่าสุด DTV วีซ่า หรือ Digital Nomad Visa ส่งผลกระทบต่อการขายบัตรอีลิทการ์ดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ประธานบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยท้าทายของอีลิทการ์ดในปีนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ถึงผลกระทบการออกมาตรการวีซ่าใหม่ๆของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นมาตรการฟรีวีซ่า 96 ประเทศ ซึ่งนโยบายนี้อาจส่งผลดี ต่อการท่องเที่ยวในภาพรวม แต่ก็ทำให้ธุรกิจอีลิทการ์ด ได้รับผลกระทบในช่วงแรก กระทั่งเมื่อต่างชาติใช้มาตรการฟรีวีซ่า ก็จะรู้ว่าสามารถอยู่ในไทยได้ไม่เกิน 60 วัน
แต่ที่กระทบมากกว่า คือ นโยบายวีซ่า DTV (Digital Nomad Visa) ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ที่มีผลเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ที่อนุญาตให้คนต่างชาติอยู่ในประเทศไทย เพื่อท่องเที่ยวและทำงานทางไกลเป็นกรณีพิเศษ สามารถพำนักในประเทศไทยได้ครั้งละไม่เกิน 180 วัน (ต่อได้อีกไม่เกิน 180 วัน) ต้องรายงานตัวทุกๆ 90 วัน อายุการตรวจลงตรา 5 ปี
เพราะแม้เป้าหมายรัฐบาลอยากจะดึงรายได้จากต่างประเทศ เพื่อนำเงินเข้าประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ กลายเป็นว่าคนที่อยู่ในไทยบินออกไปนอกประเทศ เพื่อสมัครวีซ่า DTV จ่ายเพียง 1 หมื่นบาท อยู่ในไทยได้ 180 วัน แทนที่จะมาซื้ออีลิทการ์ด ในราคาเริ่มต้นที่ 6.5 แสนบาท หรือ 9 แสนบาท ก็เป็นการเสียโอกาส จริงๆ ถ้าเพิ่มเงื่อนไขว่าให้พำนักได้สูงสุด 180 วัน (สามารถต่อได้อีกสูงสุด 30 วัน) และ 180 วันก่อนหน้านี้ต้องไม่ได้พำนักในประเทศไทย จะได้คนใหม่ล้วนๆ
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าต่อไปไทยควรจะมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องเกี่ยวกับวีซ่า หรือบูรณาการเรื่องของการออกวีซ่าให้เป็นภาพใหญ่ ไม่ซ้ำซ้อนหรือทับซ้อนกัน เพื่อให้การออกมาตรการเกี่ยวกับวีซ่าของรัฐบาลตอบโจทย์ในการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนและพำนักในไทยได้อย่างแท้จริง
ในส่วนของอีลิทการ์ด แม้จะได้รับผลกระทบจากวีซ่า DTV แต่ด้วยจุดเด่นของบัตร ที่มีบริการ Fast Track Immigration ที่สนามบิน และบริการ Elite Personal Assistant (EPA) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการพำนักระยะยาวในประเทศไทย และสิทธิประโยชน์ต่างๆเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ Stay, Travel, Leisure, Health & Well-being และ Wealth ที่ทีพีซีขยายความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆในการให้บริการสมาชิก ก็ทำให้เป็นจุดเด่นในการให้บริการที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก
ทั้งถ้ามองเรื่องต้นทุนโดยรวมของการยื่นขอวีซ่าแบบ DTV ยังมีต้นทุนแฝงซ่อนอยู่ เช่น ค่าเอเย่นต์ยื่นขอวีซ่า DTV ประมาณ 30,000-100,000 บาทต่อคน และยังมีต้นทุนการเดินทางเข้าออกประเทศไทยเมื่อพำนักครบตามกำหนด แต่สำหรับข้อได้เปรียบของบัตรสมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ไม่ต้องบินเข้าบินออก เมื่อคำนวณต้นทุนทั้งหมดมาเทียบกัน ถือว่าใกล้เคียงกัน แต่ของบัตรสมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด เป็น Worry-Free Entry มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯคอยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าออกประเทศไทย ไม่ต้องมานั่งกังวล พร้อมดูแลอย่างดี
เพราะผู้ถือบัตรฯ คือแขกคนสำคัญของประเทศไทย และสิ่งที่ DTV ไม่มีเหมือนกับบัตรสมาชิกฯ คือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ ทั้งบริการรับส่งสนามบิน บริการด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ และบริการคอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีธนาคารและทำใบขับขี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในความต้องการหลักของชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวในประเทศไทย
อย่างล่าสุดร่วมมือกับ BDMS เพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่ อาทิ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ที่มีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญกับสุขภาพและ การพักผ่อนในประเทศไทย รวมถึงเป็นกลุ่มผู้ประสงค์เดินทางเพื่อการแพทย์ (Medical purpose) ซึ่งเราก็ต้องโปรโมทให้มากขึ้น
อีกทั้งปัญหาเรื่องของคอลเซ็นเตอร์ก็กระทบการขายบัตรเช่นกัน เนื่องจากการใช้วิธีโทรติดต่อ คนรับสายก็จะมีเรื่องของความวิตกเรื่องของการหลอกลวง ทำให้ทีพีซี ต้องปรับวิธีการทำตลาดให้เหมาะสม โดยด้านการสื่อสารการตลาด ได้จัดกิจกรรม โรดโชว์ในหลากหลายประเทศ ประชาสัมพันธ์และสร้างความสนใจในบัตรสมาชิก รวมถึงการเข้าร่วมงานเทรดแฟร์และการทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ (GSSA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ของแบรนด์และกระตุ้นยอดขายในตลาดเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่รัฐบาลประกาศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ต่างชาติที่อยู่เมืองไทยเกิน 180 วัน มีรายได้จากต่างประเทศและเอาเงินเข้าประเทศ ต้องเสียภาษีเท่าคนไทย ทำให้เกิดความกังวล ส่วนนี้ บริษัทฯ ต้องจัดทำข้อมูลว่าประเทศไทยไม่มีเก็บภาษีซ้ำซ้อนอย่างชัดเจน ซึ่งกรณีนี้ถือว่าส่งผลกระทบกับตลาดเยอะ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยต้องเสียภาษีแล้วทำไมอยู่ดีๆ จะมาเก็บภาษี
แต่เราก็มีคำแนะนำว่า อยากให้เก็บภาษี เพราะหากไม่เสียที่ไทยก็ต้องไปเสียให้ประเทศอื่นอยู่ดี ซึ่งการเสียภาษีนี้หากไปเสียที่ประเทศต้นทางแล้วก็ไม่ต้องมาเสียที่ไทยอีกครั้ง ทำให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มก็อยากเสียให้ประเทศไทยมากกว่า และอีกเหตุผลก็เป็นเพราะบางประเทศมีการเสียภาษีมากกว่าไทย
สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 ทีพีซียังคงมุ่งหน้าขยายฐานจำนวนสมาชิกทั้งในกลุ่มเป้าหมายหลักเดิม รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ อาทิ รัสเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง เมียนมาร์ เกาหลี และกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ ผ่านช่องทางสื่อสารใหม่ ๆ และการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายและกำไรไม่ต่ำกว่า 10 % ในปีนี้
เฉพาะกำไรในปี 2567 เติบโต 68% เพราะสามารถขายบัตรสมาชิกได้จำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยย้อนไปเมื่อปี 2565 เราสามารถขายได้ 3,700 ล้านบาท แต่ในปี 2566-2567 มียอดขายรวมกว่า 15,000 ล้านบาท เติบโต 300-400% ตัวเลขจึงโตมากจากการทยอยรับรู้รายได้ และมีการบริหารต้นทุนที่ดี รวมถึงการออกแบบบัตรใหม่ๆ ด้วย
ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีสมาชิกบัตร Thailand Privilege Card ทั้งหมด 37,603 ราย มีอัตราการเติบโตสูงถึง 300-400% มียอดขายรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท ยังไม่รวมการเปิดตัว Bronze Card บัตรสมาชิกประเภทใหม่ที่มีค่าธรรมเนียมเริ่มต้นที่ 6.5 แสนบาท ปัจจุบันอีลิทการ์ด มีประเภทบัตรทั้งหมด 5 บัตรสมาชิก สิทธิประโยชน์ต่างกัน เริ่มตั้งแต่ 6.5 แสนบาท ไปจนถึง 5 ล้านบาท อายุบัรตั้งแต่ 5-20 ปี
อีกทั้งปัจจุบันสมาชิกของ Thailand Privilege Card ปัจจุบันมีฐานสมาชิกภายใต้บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำนวน 37,000 คน แบ่งเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพมีประมาณ 2,500 คน สัดส่วนการใช้งานบัตร ประมาณ 72% ที่มีการเคลื่อนไหวตลอด มีการใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 1,400,000 บาทต่อปี เข้ามาประมาณ 3 ครั้งต่อปี อาศัยอยู่ในประเทศมากกว่า 100 วัน/ทริป สร้างการหมุนเวียนเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย โดยรวมในแต่ละปีมากถึง 40,000-50,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ที่พัก การดูแลสุขภาพ
การขายอีลิทการ์ดได้มากขึ้น ก็จะเป็นอีกหนึ่งการขับเคลื่อนรายได้เข้าประเทศเช่นกัน แม้ว่าจะต้องเผชิญปัจจัยความท้าทายในประเด็นการออกมาตรการวีซ่าต่างๆของรัฐบาลที่เกิดขึ้นก็ตาม
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,066 วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568