ศึกบุฟเฟต์สุกี้หม้อร้อนเดือด ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ โดดเอี่ยวส่ง ‘ลัคกี้’ ชิงตลาด ‘MK-ตี๋น้อย’

15 พ.ย. 2568 | 04:44 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ย. 2568 | 05:35 น.

ศึกบุฟเฟต์หม้อร้อน 2.5 หมื่นล้านเดือด จับตา “MK - ตี๋น้อย - ลัคกี้” ระเบิดสงครามราคา หลังกลุ่มเซ็นทรัล ทุ่ม 940 ล้านซื้อหุ้น “ลัคกี้” เตรียมขนเทคโนโลยี ผนึกเครือข่ายเพิ่มแต้มต่อ

KEY

POINTS

  • กลุ่มเซ็นทรัล (CRG) เข้าสู่ตลาดสุกี้บุฟเฟต์ โดยทุ่มเงิน 940 ล้านบาท ซื้อหุ้น 40% ของ "ลัคกี้ สุกี้" เพื่อท้าชิงส่วนแบ่งตลาดกับ MK และสุกี้ตี๋น้อย
  • การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงส่งผลให้ผู้นำตลาดอย่าง MK และผู้ท้าชิงอย่างสุกี้ตี๋น้อย มีกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ยอดขายจะเพิ่มขึ้น
  • CRG จะใช้จุดแข็งด้านการบริหารจัดการ เครือข่าย และฐานลูกค้า The1 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจให้ "ลัคกี้ สุกี้" ในสมรภูมินี้

ตลาดสุกี้ 2.5 หมื่นล้านบาท กลายเป็นสมรภูมิ Red Ocean อย่างสมบูรณ์ เมื่อสองยักษ์ใหญ่ในวงการ ทั้ง "เอ็มเค" ผู้นำตลาด และ "สุกี้ตี๋น้อย" ผู้ท้าชิงที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หันมาใช้ "สงครามราคา" และกลยุทธ์บุฟเฟต์เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

การแข่งขันที่เผชิญหน้ากันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แม้จะส่งผลให้ยอดขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ได้อานิสงส์จากบุฟเฟต์ราคาไม่ถึง 300 บาท แต่ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 กลับส่งสัญญาณเตือน เมื่อ "กำไรสุทธิ" ของทั้งสองบริษัทลดลงพร้อมกันอย่างน่าตกใจ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของสมการ Volume Vs. Margin ในสมรภูมิหม้อร้อนนี้

และตลาดถูกจับจ้องมากขึ้น เมื่อ “เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป” (CRG) โดยกลุ่มเซ็นทรัล ทุ่มเงิน 940 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 40% “ลัคกี้ สุกี้” (Lucky Suki) หลังจดๆ จ้องๆ มาพักใหญ่ และเลือกที่จะไม่พลาดโอกาสขอร่วมศึกชิงแชร์ในตลาดบุฟเฟต์หม้อร้อน โดยใช้จุดแข็งที่มีอยู่

 

CRG ทุ่ม 940 ล้านซื้อ “ลัคกี้สุกี้”

กลายเป็นตัวแปรที่ต้องจับตามองว่า เมื่อกลุ่มเซ็นทรัล โดยโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ส่ง “เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป” (CRG) ทุ่มเงิน 940 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 40% บริษัท มิราเคิล แพลนเนท (MP) เจ้าของแบรนด์ “ลัคกี้ สุกี้” (Lucky Suki) และ “ลัคกี้บาร์บีคิว” (Lucky BBQ) จำนวน 140 ล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลทั้งหมดภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2568 นี้

ศึกบุฟเฟต์สุกี้หม้อร้อนเดือด ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ โดดเอี่ยวส่ง ‘ลัคกี้’ ชิงตลาด ‘MK-ตี๋น้อย’

CRG ให้เหตุผลในการเดินหน้าลุยธุรกิจร้านสุกี้บุฟเฟต์ว่า ตลาดนี้ยังมีศักยภาพและมีอนาคต โดยจะนำความเชี่ยวชาญของ CRG ทั้งในด้านการบริหารจัดการธุรกิจอาหาร เทคโนโลยี  เครือข่ายพันธมิตร เข้ามาร่วมสู้ศึกในตลาดบุฟเฟต์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะมีผลต่อมาร์จิ้นและกำไรของลัคกี้สุกี้ในอนาคต    

นั่นหมายความว่า CRG พร้อมใช้จุดแข็งที่มีทั้งด้านการบริหารจัดการ เทคโนโลยี รวมถึงเครือข่าย และฐานลูกค้าจาก The1 มาใช้เพิ่มแต้มต่อให้ธุรกิจ ทั้งสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่นต่างๆ รวมถึงการขยายธุรกิจของ “ลัคกี้ สุกี้” ให้เติบโตทั้งจำนวนสาขา รายได้และกำไรด้วย  

ศึกบุฟเฟต์สุกี้หม้อร้อนเดือด ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ โดดเอี่ยวส่ง ‘ลัคกี้’ ชิงตลาด ‘MK-ตี๋น้อย’

MK รายได้โตแต่กำไรฮวบ

บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK Group ผู้นำตลาดสุกี้ในประเทศไทยโดยครองส่วนแบ่งตลาด 60% จากมูลค่ารวมตลาดกว่า 2.3 – 2.5 หมื่นล้านบาท เผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2568 ที่พบว่ามีรายได้จากการขายและบริการรวม 3,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการทำโปรโมชั่นบุฟเฟต์ราคา 299 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขายสูงกว่าไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซันของปีอีกด้วย โดยยอดขายสาขาเดิม (Same store) ขยายตัว 5.4% และในเดือนกันยายน 2568 หลังจากมีการปรับเพิ่มเมนูบุฟเฟต์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ยอดขายสาขาเดิมก็เติบโตสูงถึง 120% หรือเติบโต 12%

อย่างไรก็ตาม การห้ำหั่นราคาด้วยบุฟเฟต์นี้ทำให้กำไรสุทธิของเอ็มเคในไตรมาส 3 ปี 2568 ลดลงอย่างหนัก โดยมีกำไรสุทธิ 226 ล้านบาท ลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากโปรโมชั่นบุฟเฟต์ ที่ทำให้สัดส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้จากการขายและบริการ (Gross Profit Margin) ลดลงจาก 67.8% ในไตรมาส 3 ปี 2567 เหลือเพียง 63.9% ในไตรมาส 3 ปี 2568

ภาพรวม 9 เดือนแรกปี 2568 เอ็มเคกรุ๊ปยังคงเผชิญกับแรงกดดัน โดยมีรายได้รวม 11,218 ล้านบาท ลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 735 ล้านบาท ลดลง 32.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 1,088 ล้านบาท นอกจากนี้ ยอดขายสาขาเดิมยังลดลง 4.1% สาเหตุสำคัญของการลดลงในช่วง 9 เดือนแรกนี้มาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนตัวลง ขณะที่ 5 เดือนแรกของปีเอ็มเคยังไม่ได้มีการจัดทำโปรโมชั่นบุฟเฟต์

โครงสร้างรายได้ของเอ็มเค กรุ๊ป ส่วนใหญ่มาจากร้านสุกี้เอ็มเคถึง 72% ตามมาด้วยยาโยอิ 18% และแหลมเจริญ 8%

ศึกบุฟเฟต์สุกี้หม้อร้อนเดือด ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ โดดเอี่ยวส่ง ‘ลัคกี้’ ชิงตลาด ‘MK-ตี๋น้อย’

ปรับกลยุทธ์เชิงรุกสู้ศึกปลายปี

แม้กำไรจะลดลง แต่ “เอ็มเค กรุ๊ป” ยังคงมองว่าช่วงปลายปีนี้เป็นโอกาสสำคัญในการเร่งยอดขายต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ปรับโมเดลธุรกิจในปี 2568 โดยเปลี่ยนร้าน MK Restaurants สู่รูปแบบ "บุฟเฟต์เต็มสูบ" (MK Buffet) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวางกลยุทธ์ที่เรียกว่า "Value Strategy" ที่เน้นการสร้างความคุ้มค่าและประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า

นอกจากนี้ เอ็มเคยังได้เร่งขยายแบรนด์สุกี้น้องใหม่ในเครือคือ "โบนัส สุกี้" (Bonus Suki) ซึ่งมีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 4 เดือน (ส.ค. – พ.ย. 2568) จะมีการเปิดเพิ่ม 12 สาขา รวมเป็น 13 สาขา เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตของธุรกิจบุฟเฟต์ให้ทะลุเป้า บริษัทยังมีแผนขยายสาขาในประเทศเพิ่ม 15 สาขาในปี 2568 สำหรับแบรนด์ในเครือทั้งหมด

สุกี้ตี๋น้อยฉลองยอดขายทะลุ 8,000 ล้านบาท

ขณะที่ผลประกอบการของ บริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร "สุกี้ตี๋น้อย" ใน 9 เดือนแรกปี 2568 หลังฉลองยอดขายทะลุ 8,000 ล้านบาทไปก่อนหน้านี้ พบว่า “ตี๋น้อย” มีกำไรสุทธิ 803 ล้านบาท ลดลง 9.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่เคยทำได้ 890 ล้านบาท

โดยพบว่า กำไรรายไตรมาสปี 2568 มแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

  • ไตรมาส 1: กำไร 271 ล้านบาท ลดลง 2.1% (ปี 2567 ทำได้ 277 ล้านบาท)
  • ไตรมาส 2: กำไร 311 ล้านบาท ลดลง 6.7% (ปี 2567 ทำได้ 333 ล้านบาท)
  • ไตรมาส 3: กำไร 221 ล้านบาท ลดลง 21% (ปี 2567 ทำได้ 280 ล้านบาท)

ตัวเลขกำไรไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ลดลง 21% นี้สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากสงครามบุฟเฟต์ที่ปะทุขึ้นในไตรมาสนี้ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของตี๋น้อยอย่างชัดเจน โดยกำไรในไตรมาส 3 ของตี๋น้อย (221 ล้านบาท) กลับมาอยู่ต่ำกว่ากำไรของเอ็มเค (226 ล้านบาท) อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผลกำไรที่ลดลงในไตรมาส 2 ปี 2568 นั้นไม่ได้มาจากโปรโมชั่น แต่เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกคือ ต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาเนื้อหมูและเนื้อวัวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงดังกล่าว

ศึกบุฟเฟต์สุกี้หม้อร้อนเดือด ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ โดดเอี่ยวส่ง ‘ลัคกี้’ ชิงตลาด ‘MK-ตี๋น้อย’

สุกี้ตี๋น้อย สปีดขยายตัวเชิงรุก

“สุกี้ตี๋น้อย” วางเป้าหมายที่จะมีรายได้รวม 9,000 ล้านบาทในปีนี้ และคาดว่าจะทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2569 โดยเดินหน้ากลยุทธ์ "ความคุ้มค่า" (Value) ให้กับลูกค้าเสมอมา ไม่ใช่การทำ "สงครามราคา" ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์

โดยบริษัทเชื่อมั่นในการนำเสนอวัตถุดิบคุณภาพดี เช่น เนื้อวัวนำเข้าจากออสเตรเลีย ในราคาที่เหมาะสม และไม่เน้นการแข่งขันระยะสั้น นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับ Personal Branding  และการสื่อสารโดยตรงกับลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นอย่างรวดเร็ว

แผนการขยายธุรกิจของ “สุกี้ตี๋น้อย” ยังคงเป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยวางแผนจะเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา/สัปดาห์ และมีแผนเร่งขยายอีกกว่า 40 สาขาในปี 2569 โดยจะมุ่งเน้นไปที่ตลาด "เมืองรอง" มากขึ้น

ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ตี๋น้อยมีสาขารวมทั้งหมด 96 สาขา แบ่งเป็น สุกี้ตี๋น้อย 86 สาขา, ตี๋น้อย บาร์บีคิว (บุฟเฟต์ปิ้งย่าง) 7 สาขา และตี๋น้อย โกลด์ (บุฟเฟต์พรีเมียมราคาเริ่มต้น 599 บาท) 1 สาขา ตี๋น้อยยังได้ลงทุนครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างครัวกลางขนาดใหญ่ในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเปิดใช้เมื่อต้นปี 2568 รองรับการขยายสาขาได้สูงสุดถึง 200 สาขา

บทเรียน “สงครามราคา” อาจไม่คุ้มกำไร

ผลประกอบการของทั้งเอ็มเคและสุกี้ตี๋น้อยสะท้อนถึงความท้าทายอย่างยิ่งของผู้ประกอบการในตลาดอาหารเชนใหญ่ปี 2568 การหันมาทำบุฟเฟต์ราคาประหยัด (MK 299 บาท) เพื่อแข่งขันกับตลาดแมสที่ตี๋น้อยครองอยู่ แม้จะสามารถดึงลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้สำเร็จ (Volume) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการกัดกร่อนอัตรากำไร (Margin)

สงครามราคาที่ดุเดือดนี้ได้สร้างแรงกดดันต่อมาร์จิ้น แม้กลยุทธ์บุฟเฟต์จะหนุนรายได้ให้เพิ่มขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับมาร์จิ้นที่ลดตัวลงอย่างมาก ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งเปิดสาขาใหม่ เช่น โบนัส สุกี้ ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างความเสี่ยงเชิงลบต่อประมาณการกำไรในอนาคต

ในขณะที่สุกี้ตี๋น้อย แม้จะเน้นกลยุทธ์ความคุ้มค่าและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และมีกำไรสะสม 9 เดือนที่สูงกว่าเอ็มเค แต่ตัวเลขกำไรในไตรมาส 3 ที่ลดลงถึง 21% ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่มีใครหลีกหนีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงได้

สงครามบุฟเฟต์ในตลาดสุกี้ ปี 2569 รับรองเดือดสุดๆ แน่นอน