‘เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น‘ 5 วันกวาด 557 ล้าน จ่อทะลุ 1,000 ล้าน ใน 10 วัน แจกบ้าน

15 ต.ค. 2568 | 09:23 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ต.ค. 2568 | 03:40 น.

“เจนนี่-รัชนก สุวรรณเกตุ” หรือ “เจนนี่” สร้างสถิติใหม่ให้วงการ Live Commerce ไทย ด้วยยอดขายสะสม 6 วันทะลุ 557 ล้านบาท โดยมียอดขายต่อวันแตะหลักร้อยล้านบาทต่อเนื่อง สะท้อนพลังการซื้อของผู้บริโภคยุคโซเชียล โดยเจ้าตัวประกาศตั้งเป้าทะลุ 1,000 ล้านบาทภายใน 10 วัน พร้อมเปิดตัวแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ "แจกบ้าน 1 หลัง" ในวันที่ 11.11 เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งในสงครามอีคอมเมิร์ซปลายปี

KEY

POINTS

  • เจนนี่-รัชนก สุวรรณเกตุ สร้างยอดขายจากการไลฟ์สดทะลุ 557 ล้านบาทภายใน 6 วัน
  • ตั้งเป้าหมายทำยอดขายให้ถึง 1,000 ล้านบาทภายใน 10 วัน
  • ประกาศแคมเปญใหญ่แจกบ้าน 1 หลัง หากสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
  • ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงพลังของ Live Commerce และกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดผู้บริโภค

กระแสความแรงของอินฟลูเอนเซอร์สายขายของออนไลน์ “รัชนก สุวรรณเกตุ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจนนี่” สร้างความฮือฮาอีกครั้ง หลังเจ้าตัวโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวอัปเดตยอดขายล่าสุด ทำสถิติ 6 วันพุ่งแตะ 557 ล้านบาท พร้อมประกาศเป้าหมายทะลุ 1,000 ล้านบาทภายใน 10 วัน และเตรียมแจก “บ้าน 1 หลัง” เป็นแคมเปญใหญ่ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้

จากข้อมูลในโพสต์ระบุว่า ยอดขายสะสมตั้งแต่วันที่ 9–14 ตุลาคม 2568 รวมทั้งหมด 557,193,852 บาท โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ได้แก่

  • วันที่ 9 ต.ค. 68 : 24,211,823 บาท
  • วันที่ 10 ต.ค. 68 : 33,613,088 บาท
  • วันที่ 11 ต.ค. 68 : 80,322,689 บาท
  • วันที่ 12 ต.ค. 68 : 126,767,621 บาท
  • วันที่ 13 ต.ค. 68 : 143,597,676 บาท
  • วันที่ 14 ต.ค. 68 : 148,680,955 บาท

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วง 3 วันหลังที่ยอดขายต่อวันพุ่งแตะหลักร้อยล้านบาท ขณะที่โพสต์ดังกล่าวมียอดปฏิสัมพันธ์สูงกว่า 4.9 หมื่นครั้ง สะท้อนกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ติดตามการไลฟ์ขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง

“เจนนี่” ระบุในโพสต์ว่า หากสามารถทำยอดขายถึง 1,000 ล้านบาทภายใน 10 วัน จะมีการ “แจกบ้าน 1 หลัง” ในวันแคมเปญใหญ่ 11.11 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของสงครามอีคอมเมิร์ซประจำปี

‘เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น‘ 5 วันกวาด 557 ล้าน จ่อทะลุ 1,000 ล้าน ใน 10 วัน แจกบ้าน

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ยอดขายพุ่งภายในเวลาอันสั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตาในวงการรีเทลและอีคอมเมิร์ซไทย ว่าสะท้อนถึงพลังการตลาดแบบ Live Commerce ที่กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคยุคโซเชียลที่ตอบสนองรวดเร็วต่อการกระตุ้นแคมเปญแบบเรียลไทม์

‘เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น‘ 5 วันกวาด 557 ล้าน จ่อทะลุ 1,000 ล้าน ใน 10 วัน แจกบ้าน

นักวิชาการธรรมศาสตร์ถอดความสำเร็จ ‘เทศกาลเจนนี่’ พบงัดกลยุทธ์ทางการตลาดอื้อ

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ถอดความสำเร็จ “เทศกาลเจนนี่” ฟีเวอร์ พบนักร้องสาวใช้กลยุทธ์ “Shoppertainment” ถูกจริตผู้บริโภคชาวไทย ผนวกกับการสร้างสภาวะ Fear of Missing Out ให้ลูกค้ากลัวตกขบวนสินค้าราคาถูก และใช้พลังคอลแลบคนดังเพิ่มแรงส่งแบบทวีคูณ ส่งผลให้อัลกอริทึม TikTok เอาด้วย หนำซ้ำยังใช้กระแสความฮอต ขยายจากออนไลน์กลับมาสู่ออฟไลน์ “เฟสติวัล Live Market By ยิวเจน” เช่าบูธสินค้าบูธละ 1 ล้านบาท

ผศ. ดร.นพพร เรืองวานิช ผู้อำนวยการหลักสูตรควบตรี-โท ทางการบัญชีและธุรกิจ และรักษาการแทนผู้อำนวยการโครงการปริญญาตรีบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า พฤติกรรมการบริโภคของชาวไทยมีความแตกต่างกับชาวตะวันตกโดยสิ้นเชิง

‘เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น‘ 5 วันกวาด 557 ล้าน จ่อทะลุ 1,000 ล้าน ใน 10 วัน แจกบ้าน

กล่าวคือคนไทยชอบความสนุก ความบันเทิง ชอบเอนเทอร์เทนเมนต์ และชอบการมีส่วนร่วมกับผู้ขายโดยตรงในระหว่างการซื้อขายสินค้า ขณะที่ชาวตะวันตกจะนิยมซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ เช่น Amazon eBay ฯลฯ โดยไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้ขาย นั่นทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ “เทศกาลเจนนี่” ที่นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง เจนนี่-รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น สามารถทำการไลฟ์ขายสินค้าจนสามารถสร้างยอดรายได้อย่างมหาศาลในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งในทางการตลาดเรียกว่ากลยุทธ์ Shoppertainment ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของชาวไทย

ผศ. ดร.นพพร กล่าวต่อไปว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือ “พลังของการคอลแลบ” ในการไลฟ์ขายสินค้า ระหว่างเจนนี่กับดารา หรืออินฟลูเอนเซอร์คนอื่นๆ เช่น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ กระแต-อาร์สยาม หนุ่ม-กรรชัย ฯลฯ  มารวมกัน ยิ่งหนุนเสริมให้เกิดการเอนเทอร์เทนเมนต์แบบทวีคูณและทำให้ฐานแฟนคลับของแต่ละคนมารวมตัวกันในที่เดียว จนส่งผลให้อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มติ๊กต็อก (TikTok) ยิ่งดึงดูดและสร้างการมองเห็นการรับรู้ให้ผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ หากจะถอดบทเรียนจากเจนนี่เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME หรือ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ นำไปต่อยอดในการทำธุรกิจ ประการแรกคือการคอลแลบร่วมกันระหว่างแบรนด์ เพราะที่ผ่านมาในวงการธุรกิจหรือวงการมาร์เก็ตติงจะพูดถึงเรื่องนี้กันเยอะขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมารองเท้าแบรนด์กุชชีได้ไปร่วมคอลแลบกับแบรนด์อดิดาสเพื่อให้ได้ฐานลูกค้าของกันและกันเข้ามาซื้อสินค้าของตนเอง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวทันที

“ต่อมาคือการตั้งราคาที่ดีที่สุด จะเห็นได้ว่าเจนนี่จะเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าที่จะมาขาย บางสินค้าราคาถูกกว่าช่องทางของเจ้าของแบรนด์เองด้วยซ้ำเพื่อให้ลูกค้าได้ราคาที่ดีที่สุดในไลฟ์นี้เท่านั้น บวกกับการโดนกระตุ้นด้วยกรอบเวลาที่จำกัดเพียงแค่ 10 นาทีต่อหนึ่งแบรนด์ คนจะยิ่งรู้สึกว่าฉันตกขบวนรถนี้ไม่ได้ เพราะโอกาสในราคาที่ดีที่สุดมีแค่เวลานี้เท่านั้น สภาวะกลัวตกกระแส หรือกลัวพลาดสิ่งสำคัญ แม้ห้วงเวลานั้นอาจจะยังไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งซื้อสินค้า มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า FOMO ซึ่งย่อมาจากคำว่า Fear of Missing Out มากไปกว่านั้น เจนนี่ยังมีกลยุทธ์ในการดึงผู้ชมให้ยังคงอยู่ในการไลฟ์ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสลับระหว่างดาราที่มีชื่อเสียง กับเจ้าของแบรนด์ที่อาจจะไม่มีชื่อเสียงมากนักแต่มีสินค้าที่แตกต่างและน่าสนใจ และในระหว่างนั้นก็จะแจ้งผู้ชมว่า มีดาราหรืออินฟลูฯ ที่ทุกคนรอคอยอยู่ถัดไปจากนี้ กลยุทธ์เหล่านี้ถือเป็นการเก็บคนดูให้อยู่กับไลฟ์ตัวเองได้นานขึ้น” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว

ผศ. ดร.นพพร กล่าวต่อไปอีกว่า เจนนี่เปรียบเสมือนผู้ประกอบการค้าปลีก และหัวใจความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีก คือ การจัดเรียงสินค้าที่มีอยู่อย่างหลากหลายให้มีความน่าสนใจ เจนนี่มีความเข้าใจกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าที่ไม่น่าเบื่อ โดยมีการผสมผสานผลิตภัณฑ์ให้เกิดความลงตัว ไม่นำเสนอสินค้าประเภทเดียวกันซ้ำๆ ทำให้ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าที่หลากหลายและมีโอกาสสั่งซื้อสินค้ามากกว่าหนึ่งประเภทต่อการไลฟ์หนึ่งครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่เจนนี่ได้ตั้งเป้าหมายยอดการขายของตัวเองไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ภายในเดือนนี้ ผศ. ดร.นพพร มองว่ามีความเป็นไปได้ เพราะยังคงมีดารา และอินฟลูเอนเซอร์อีกเป็นจำนวนมากที่สนใจจะเข้ามาร่วมการไลฟ์สดขายสินค้า ทว่า การตั้งเป้าหมายยอดการขายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ภายในหนึ่งปี และต้องการจะรักษาปรากฎการณ์เช่นนี้ต่อไปอีก 3 – 5 ปี อาจจะยังคงเป็นความท้าทายหากเจนนี่ยังใช้กลยุทธ์และวิธีการเดิม ซึ่งน่าสนใจและน่าติดตามต่อไปว่าเจนนี่จะสามารถขยายโอกาสความเป็นไปได้จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต่อไปอย่างไร

ทั้งนี้ กรณีที่เจนนี่ ได้ประกาศผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตนเองว่าจะมีการจัดงานมหกรรมการขายสินค้า ภายใต้ชื่องาน “เฟสติวัล Live Market By ยิวเจน” และจะมีการจัดทั้งหมด 5 รอบ 5 จังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงเดือน ม.ค. 2569 เป็นต้นไป โดยจะมีการเปิดให้ผู้ที่สนใจจำหน่ายสินค้าในงานนี้ได้เช่าบูธสินค้าละ 1 ล้านบาท ร่วมกับบูธของดาราที่มีชื่อเสียงมากกว่า 50 บูธนั้น ถือเป็นบริการที่ต่อยอดมาจากการไลฟ์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของการเพิ่มช่องทางในการนำเสนอสินค้า จากเดิมทีที่ใช้การไลฟ์ผ่านช่องทางออนไลน์มาเป็นรูปแบบออฟไลน์และด้วยจำนวนฐานผู้ชมเป็นหลักแสนต่อการไลฟ์หนึ่งครั้ง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะมีจำนวนคนมหาศาลมาร่วมงานเฟสติวัล เพื่อซื้อสินค้าและเข้ามาสัมผัสดาราแบบใกล้ชิด

ผู้บริโภคไทย รักดราม่า–กลัวตกกระแส

ทางด้านผศ.ดร.บุปผา ลาภะวัฒนาพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์และสื่อสารการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ว่า จุดแข็งของปรากฏการณ์นี้คือพฤติกรรมเฉพาะของผู้บริโภคไทย ที่ ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ความอยากรู้อยากเห็น ความสงสาร และ ความกลัวตกกระแส (FOMO) ทำให้ผู้คนจำนวนมากเข้ามาติดตามไลฟ์ แม้ไม่ได้ตั้งใจซื้อของตั้งแต่ต้นนี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Gimmick-centric Marketing” – กลยุทธ์เริ่มจาก “เรื่องที่ผู้บริโภคอยากฟัง” ก่อนสินค้า

‘เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น‘ 5 วันกวาด 557 ล้าน จ่อทะลุ 1,000 ล้าน ใน 10 วัน แจกบ้าน

แม้จะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจแต่ปรากฏการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจครัวเรือน เนื่องจากยอดขายจำนวนมากมาจากการใช้จ่ายเงินอนาคตผ่านระบบเครดิตหรือ Pay Later

“คนดูซื้อตามอารมณ์ สินค้าที่ซื้อเกินจำเป็นอาจกลายเป็น ‘ขยะในอนาคต’ และสร้างภาระทางการเงินในระยะยาวหากไม่ระมัดระวัง” ผศ.ดร.บุปผาเตือน