KEY
POINTS
กระแสความแรงของอินฟลูเอนเซอร์สายขายของออนไลน์ “รัชนก สุวรรณเกตุ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจนนี่” สร้างความฮือฮาอีกครั้ง หลังเจ้าตัวโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวอัปเดตยอดขายล่าสุด ทำสถิติ 6 วันพุ่งแตะ 557 ล้านบาท พร้อมประกาศเป้าหมายทะลุ 1,000 ล้านบาทภายใน 10 วัน และเตรียมแจก “บ้าน 1 หลัง” เป็นแคมเปญใหญ่ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้
จากข้อมูลในโพสต์ระบุว่า ยอดขายสะสมตั้งแต่วันที่ 9–14 ตุลาคม 2568 รวมทั้งหมด 557,193,852 บาท โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ได้แก่
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วง 3 วันหลังที่ยอดขายต่อวันพุ่งแตะหลักร้อยล้านบาท ขณะที่โพสต์ดังกล่าวมียอดปฏิสัมพันธ์สูงกว่า 4.9 หมื่นครั้ง สะท้อนกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ติดตามการไลฟ์ขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง
“เจนนี่” ระบุในโพสต์ว่า หากสามารถทำยอดขายถึง 1,000 ล้านบาทภายใน 10 วัน จะมีการ “แจกบ้าน 1 หลัง” ในวันแคมเปญใหญ่ 11.11 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของสงครามอีคอมเมิร์ซประจำปี
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ยอดขายพุ่งภายในเวลาอันสั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตาในวงการรีเทลและอีคอมเมิร์ซไทย ว่าสะท้อนถึงพลังการตลาดแบบ Live Commerce ที่กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคยุคโซเชียลที่ตอบสนองรวดเร็วต่อการกระตุ้นแคมเปญแบบเรียลไทม์
นักวิชาการธรรมศาสตร์ ถอดความสำเร็จ “เทศกาลเจนนี่” ฟีเวอร์ พบนักร้องสาวใช้กลยุทธ์ “Shoppertainment” ถูกจริตผู้บริโภคชาวไทย ผนวกกับการสร้างสภาวะ Fear of Missing Out ให้ลูกค้ากลัวตกขบวนสินค้าราคาถูก และใช้พลังคอลแลบคนดังเพิ่มแรงส่งแบบทวีคูณ ส่งผลให้อัลกอริทึม TikTok เอาด้วย หนำซ้ำยังใช้กระแสความฮอต ขยายจากออนไลน์กลับมาสู่ออฟไลน์ “เฟสติวัล Live Market By ยิวเจน” เช่าบูธสินค้าบูธละ 1 ล้านบาท
ผศ. ดร.นพพร เรืองวานิช ผู้อำนวยการหลักสูตรควบตรี-โท ทางการบัญชีและธุรกิจ และรักษาการแทนผู้อำนวยการโครงการปริญญาตรีบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า พฤติกรรมการบริโภคของชาวไทยมีความแตกต่างกับชาวตะวันตกโดยสิ้นเชิง
กล่าวคือคนไทยชอบความสนุก ความบันเทิง ชอบเอนเทอร์เทนเมนต์ และชอบการมีส่วนร่วมกับผู้ขายโดยตรงในระหว่างการซื้อขายสินค้า ขณะที่ชาวตะวันตกจะนิยมซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ เช่น Amazon eBay ฯลฯ โดยไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้ขาย นั่นทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ “เทศกาลเจนนี่” ที่นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง เจนนี่-รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น สามารถทำการไลฟ์ขายสินค้าจนสามารถสร้างยอดรายได้อย่างมหาศาลในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งในทางการตลาดเรียกว่ากลยุทธ์ Shoppertainment ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของชาวไทย
ผศ. ดร.นพพร กล่าวต่อไปว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือ “พลังของการคอลแลบ” ในการไลฟ์ขายสินค้า ระหว่างเจนนี่กับดารา หรืออินฟลูเอนเซอร์คนอื่นๆ เช่น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ กระแต-อาร์สยาม หนุ่ม-กรรชัย ฯลฯ มารวมกัน ยิ่งหนุนเสริมให้เกิดการเอนเทอร์เทนเมนต์แบบทวีคูณและทำให้ฐานแฟนคลับของแต่ละคนมารวมตัวกันในที่เดียว จนส่งผลให้อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มติ๊กต็อก (TikTok) ยิ่งดึงดูดและสร้างการมองเห็นการรับรู้ให้ผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ หากจะถอดบทเรียนจากเจนนี่เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME หรือ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ นำไปต่อยอดในการทำธุรกิจ ประการแรกคือการคอลแลบร่วมกันระหว่างแบรนด์ เพราะที่ผ่านมาในวงการธุรกิจหรือวงการมาร์เก็ตติงจะพูดถึงเรื่องนี้กันเยอะขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมารองเท้าแบรนด์กุชชีได้ไปร่วมคอลแลบกับแบรนด์อดิดาสเพื่อให้ได้ฐานลูกค้าของกันและกันเข้ามาซื้อสินค้าของตนเอง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวทันที
“ต่อมาคือการตั้งราคาที่ดีที่สุด จะเห็นได้ว่าเจนนี่จะเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าที่จะมาขาย บางสินค้าราคาถูกกว่าช่องทางของเจ้าของแบรนด์เองด้วยซ้ำเพื่อให้ลูกค้าได้ราคาที่ดีที่สุดในไลฟ์นี้เท่านั้น บวกกับการโดนกระตุ้นด้วยกรอบเวลาที่จำกัดเพียงแค่ 10 นาทีต่อหนึ่งแบรนด์ คนจะยิ่งรู้สึกว่าฉันตกขบวนรถนี้ไม่ได้ เพราะโอกาสในราคาที่ดีที่สุดมีแค่เวลานี้เท่านั้น สภาวะกลัวตกกระแส หรือกลัวพลาดสิ่งสำคัญ แม้ห้วงเวลานั้นอาจจะยังไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งซื้อสินค้า มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า FOMO ซึ่งย่อมาจากคำว่า Fear of Missing Out มากไปกว่านั้น เจนนี่ยังมีกลยุทธ์ในการดึงผู้ชมให้ยังคงอยู่ในการไลฟ์ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสลับระหว่างดาราที่มีชื่อเสียง กับเจ้าของแบรนด์ที่อาจจะไม่มีชื่อเสียงมากนักแต่มีสินค้าที่แตกต่างและน่าสนใจ และในระหว่างนั้นก็จะแจ้งผู้ชมว่า มีดาราหรืออินฟลูฯ ที่ทุกคนรอคอยอยู่ถัดไปจากนี้ กลยุทธ์เหล่านี้ถือเป็นการเก็บคนดูให้อยู่กับไลฟ์ตัวเองได้นานขึ้น” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
ผศ. ดร.นพพร กล่าวต่อไปอีกว่า เจนนี่เปรียบเสมือนผู้ประกอบการค้าปลีก และหัวใจความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีก คือ การจัดเรียงสินค้าที่มีอยู่อย่างหลากหลายให้มีความน่าสนใจ เจนนี่มีความเข้าใจกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าที่ไม่น่าเบื่อ โดยมีการผสมผสานผลิตภัณฑ์ให้เกิดความลงตัว ไม่นำเสนอสินค้าประเภทเดียวกันซ้ำๆ ทำให้ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าที่หลากหลายและมีโอกาสสั่งซื้อสินค้ามากกว่าหนึ่งประเภทต่อการไลฟ์หนึ่งครั้ง
อย่างไรก็ตาม การที่เจนนี่ได้ตั้งเป้าหมายยอดการขายของตัวเองไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ภายในเดือนนี้ ผศ. ดร.นพพร มองว่ามีความเป็นไปได้ เพราะยังคงมีดารา และอินฟลูเอนเซอร์อีกเป็นจำนวนมากที่สนใจจะเข้ามาร่วมการไลฟ์สดขายสินค้า ทว่า การตั้งเป้าหมายยอดการขายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ภายในหนึ่งปี และต้องการจะรักษาปรากฎการณ์เช่นนี้ต่อไปอีก 3 – 5 ปี อาจจะยังคงเป็นความท้าทายหากเจนนี่ยังใช้กลยุทธ์และวิธีการเดิม ซึ่งน่าสนใจและน่าติดตามต่อไปว่าเจนนี่จะสามารถขยายโอกาสความเป็นไปได้จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต่อไปอย่างไร
ทั้งนี้ กรณีที่เจนนี่ ได้ประกาศผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตนเองว่าจะมีการจัดงานมหกรรมการขายสินค้า ภายใต้ชื่องาน “เฟสติวัล Live Market By ยิวเจน” และจะมีการจัดทั้งหมด 5 รอบ 5 จังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงเดือน ม.ค. 2569 เป็นต้นไป โดยจะมีการเปิดให้ผู้ที่สนใจจำหน่ายสินค้าในงานนี้ได้เช่าบูธสินค้าละ 1 ล้านบาท ร่วมกับบูธของดาราที่มีชื่อเสียงมากกว่า 50 บูธนั้น ถือเป็นบริการที่ต่อยอดมาจากการไลฟ์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของการเพิ่มช่องทางในการนำเสนอสินค้า จากเดิมทีที่ใช้การไลฟ์ผ่านช่องทางออนไลน์มาเป็นรูปแบบออฟไลน์และด้วยจำนวนฐานผู้ชมเป็นหลักแสนต่อการไลฟ์หนึ่งครั้ง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะมีจำนวนคนมหาศาลมาร่วมงานเฟสติวัล เพื่อซื้อสินค้าและเข้ามาสัมผัสดาราแบบใกล้ชิด
ทางด้านผศ.ดร.บุปผา ลาภะวัฒนาพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์และสื่อสารการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ว่า จุดแข็งของปรากฏการณ์นี้คือพฤติกรรมเฉพาะของผู้บริโภคไทย ที่ ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ความอยากรู้อยากเห็น ความสงสาร และ ความกลัวตกกระแส (FOMO) ทำให้ผู้คนจำนวนมากเข้ามาติดตามไลฟ์ แม้ไม่ได้ตั้งใจซื้อของตั้งแต่ต้นนี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Gimmick-centric Marketing” – กลยุทธ์เริ่มจาก “เรื่องที่ผู้บริโภคอยากฟัง” ก่อนสินค้า
แม้จะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจแต่ปรากฏการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจครัวเรือน เนื่องจากยอดขายจำนวนมากมาจากการใช้จ่ายเงินอนาคตผ่านระบบเครดิตหรือ Pay Later
“คนดูซื้อตามอารมณ์ สินค้าที่ซื้อเกินจำเป็นอาจกลายเป็น ‘ขยะในอนาคต’ และสร้างภาระทางการเงินในระยะยาวหากไม่ระมัดระวัง” ผศ.ดร.บุปผาเตือน