เมเจอร์ จับมือ เถ้าแก่น้อย ส่งป๊อปคอร์นโรงหนังลงซอง ลุยตลาดทั่วประเทศ

14 ต.ค. 2568 | 09:32 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ต.ค. 2568 | 09:57 น.

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ผนึก เถ้าแก่น้อย ตั้งบริษัทร่วมทุน 100 ล้านบาท ปล่อย "POPCORN MAJOR" บุกตลาดขนมซองทั่วประเทศ หวังเสริมทัพ Non-seaweed ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 238 ล้านบาท

KEY

POINTS

  • เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (MAJOR) และ เถ้าแก่น้อย (TKN) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน "ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น" เพื่อผลิตและจำหน่ายป๊อปคอร์นพร้อมทานในรูปแบบซอง
  • บริษัทร่วมทุนมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดย TKN ถือหุ้น 51% และ MAJOR 49% เพื่อผนึกกำลังขยายตลาดขนมขบเคี้ยว
  • มีเป้าหมายเพื่อขยายช่องทางจำหน่ายสู่ร้านค้าปลีกทั่วประเทศ โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรก 238 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ปี 2568

บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์และความบันเทิงครบวงจรของประเทศไทย เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ป๊อปคอร์นในตำนาน “เมเจอร์ ป๊อปคอร์น” สู่ตลาดขนมขบเคี้ยว (Ready-to-Eat Snacks) โดยร่วมมือกับ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายแปรรูปชั้นนำระดับโลก จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

โดย TKN ถือหุ้น 51% และ MAJOR ถือหุ้น 49% ของทุนจดทะเบียน เพื่อผลิตและจำหน่ายข้าวโพดคั่วพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ “POPCORN MAJOR” มุ่งขยายช่องทางสู่ร้านค้าปลีกทั่วประเทศ เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตสินค้าในกลุ่ม Family of Snacks และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้กับทั้งสององค์กร คาดเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ปี 2568

นายวิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร MAJOR เปิดเผยว่า การร่วมมือกับ TKN เป็นการสร้าง Synergy ระหว่างผู้นำด้านความบันเทิงและผู้นำตลาดสแน็ก ซึ่งจะช่วยต่อยอดแบรนด์ POPCORN MAJOR ให้เข้าถึงผู้บริโภควงกว้างขึ้น พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ขยายช่องทางจัดจำหน่าย และยกระดับมาตรฐานการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งสององค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“การร่วมทุนครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ คือ การผนึกกำลังระหว่างสองผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่าง แต่สามารถเกื้อหนุนกันได้ เมเจอร์นำจุดแข็งจากแบรนด์ ‘เมเจอร์ ป๊อปคอร์น’ ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนรักการชมภาพยนตร์ ด้วยเอกลักษณ์ความอร่อยเฉพาะตัวที่แตกต่างจากป๊อปคอร์นทั่วไป ซึ่งเป็นรสชาติแห่งประสบการณ์ที่ผู้บริโภครู้จักและจดจำได้”

จากจุดเริ่มต้นของ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ได้สร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจโรงภาพยนตร์ โดยต่อยอด “ความอร่อยในโรงหนัง” สู่ “ขนมพร้อมทานในชีวิตประจำวัน” และได้รับการตอบรับอย่างดี ขณะที่ TKN นำความเชี่ยวชาญด้านการผลิต การพัฒนารสชาติ การตลาด และเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วประเทศ มาช่วยขยายช่องทางให้เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

เมเจอร์ จับมือ เถ้าแก่น้อย ส่งป๊อปคอร์นโรงหนังลงซอง ลุยตลาดทั่วประเทศ

ทั้งนี้ การร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้าง ระบบนิเวศธุรกิจ (Business Ecosystem) ที่แข็งแรง สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับความยั่งยืนของสังคม พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ POPCORN MAJOR ให้เป็นสัญลักษณ์ของ “ความสุขที่แบ่งปันได้ในทุกโมเมนต์” อย่างแท้จริง

ด้าน นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งดำเนินกลยุทธ์ ‘GO Broad’ ขยายฐานธุรกิจกว้างขึ้น ผ่านสินค้านวัตกรรมใหม่ (Innovation Food) และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สาหร่าย (Non-seaweed) โดยเห็นศักยภาพแบรนด์ POPCORN MAJOR ที่เปิดตัวปี 2566 จากป๊อปคอร์นโรงหนังสู่ขนมซองพร้อมทาน สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในชีวิตประจำวันและมองเห็นโอกาสในตลาดที่มีผู้เล่นหลักเพียงรายเดียว

TKN จึงร่วมกับ MAJOR จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อประกอบธุรกิจผลิต จัดซื้อ และจัดจำหน่ายข้าวโพดคั่วซองพร้อมรับประทาน ภายใต้เครื่องหมายการค้า POPCORN MAJOR ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดย TKN ถือหุ้น 51% และ MAJOR 49% โดย TKN รับผิดชอบด้านรสชาติใหม่ การตลาด และการกระจายสินค้า เสริมศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

“การจัดตั้งบริษัทย่อยครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของทั้งสองบริษัท เรามองเห็นศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ POPCORN MAJOR และตลาดข้าวโพดคั่วบรรจุถุงในประเทศ มูลค่าตลาดรวม 400 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จึงผสานความแข็งแกร่งของ MAJOR และความเชี่ยวชาญ TKN เพื่อขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y เพิ่มยอดขายและการรับรู้แบรนด์” นายอิทธิพัทธ์กล่าว

เมเจอร์ จับมือ เถ้าแก่น้อย ส่งป๊อปคอร์นโรงหนังลงซอง ลุยตลาดทั่วประเทศ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ POPCORN MAJOR มี 3 รสชาติหลัก ได้แก่ ชีส (Cheese), ออริจินอล (Original), และข้าวโพดปิ้ง (Grilled Corn) พร้อมรสพิเศษ โนริสาหร่าย (Nori Seaweed) และเตรียมออก รสใหม่หมึกย่างสไปซี่ (Spicy Grilled Squid) รวมถึงพิจารณาพัฒนาขนาดและแพ็กเกจหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ชอบความหลากหลายและการรับประทานแบบพกพา

บริษัทฯ เตรียมทำกิจกรรมการตลาดเข้มข้น โฟกัสตลาดในประเทศผ่านช่องทาง Modern Trade (MT) และ Traditional Trade (TT) ขณะที่ตลาดต่างประเทศอยู่ระหว่างศึกษากลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และเวียดนาม พร้อมจดทะเบียนเครื่องหมายฮาลาล

คาดเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรก 238 ล้านบาท และคาดว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่ม Non-seaweed ใน 3–5 ปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็น 10% จากปัจจุบันไม่ถึง 5% ของรายได้รวม