ชาตรามือ ผุดแบรนด์ใหม่ ‘CTM’ สู้ศึกตลาดชา ปักหมุดสาขาแรกเซ็นทรัล พาร์ค

10 ก.ย. 2568 | 14:01 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2568 | 14:09 น.

‘พราวนรินทร์’ ทายาทรุ่นที่ 3 ชาตรามือ เดินเกมปั้นแบรนด์ใหม่ ‘CTM’ เจาะกลุ่ม Specialty Tea ชิงกำลังซื้อกลุ่มพรีเมี่ยม ราคาเครื่องดื่มเริ่มต้น 70 บาท

KEY

POINTS

  • ชาตรามือเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในชื่อ CTM (Captivating Tea Muse) เพื่อแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชา
  • ประเดิมเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค
  • ชูจุดเด่นการนำเสนอ "ชาในฐานะประสบการณ์" ด้วยการสกัดชาสดแบบแก้วต่อแก้ว
  • มีเป้าหมายเพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่และยกระดับภาพลักษณ์ชาไทยให้ทันสมัย

ท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาและการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มที่ร้อนแรง “ชาตรามือ” แบรนด์ชาไทยเก่าแก่กว่า 80 ปี ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ CTM: Captivating Tea Muse ที่ศูนย์การค้า เซ็นทรัล ปาร์ค โดยวางตำแหน่งให้แตกต่างจากคู่แข่งด้วยการนำเสนอ “ชาในฐานะประสบการณ์” มากกว่าการเป็นเครื่องดื่มทั่วไป

นางสาวพราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด และทายาทรุ่นที่ 3 ของธุรกิจชาตรามือ ระบุว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากการดื่มชาในรูปแบบร้อนหรือเย็นแบบดั้งเดิม สู่การยอมรับรสชาติใหม่ ๆ เช่น มัทฉะ ชาผลไม้ และเมนูที่มีท็อปปิ้งหลากหลาย การเปิดตัว CTM จึงเป็นการตอบสนองต่อความต้องการใหม่ในตลาด ขณะที่ยังยืนบนจุดแข็งด้านคุณภาพใบชาไทยที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์

CTM เปิดตัวด้วยเมนูกว่า 40 รายการ ภายใต้แนวคิด “Muse” ที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ โดยมีเมนูเด่น 6 รายการ เช่น ชานมอู่หลงนางงาม ชาจัสมินบลูม และชาไทยเครมบรูเล่ จุดขายสำคัญคือการใช้เครื่องสกัดชาแบบสดแก้วต่อแก้ว เพื่อสร้างประสบการณ์ดื่มที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป

ชาตรามือ ผุดแบรนด์ใหม่ ‘CTM’ สู้ศึกตลาดชา ปักหมุดสาขาแรกเซ็นทรัล พาร์ค

แม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ชาตรามือเชื่อว่าตลาดเครื่องดื่มยังมีศักยภาพ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่มักมียอดขายเพิ่มขึ้น การเข้าสู่ตลาดด้วยแบรนด์ใหม่อย่าง CTM จึงเป็นทั้งการขยายฐานลูกค้าและการยกระดับภาพลักษณ์ของชาไทยในสายตาผู้บริโภครุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาดที่มีทั้งผู้เล่นไทยและต่างชาติ

ปัจจุบันชาตรามือมี 220 สาขาในประเทศ และ 114 สาขาใน 11 ประเทศ ครองส่วนแบ่งตลาดชาไทยราว 70% โดยมีรายได้รวมปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 2,800–2,900 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิกว่า 34 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาในประเทศเป็น 250 แห่ง และต่างประเทศเป็น 130 แห่งภายในสิ้นปี 2568