ผู้ประกอบการไทย เตรียมปลดล็อคธุรกิจ ‘ส่วนผสมอาหาร-สารสกัด’ สู่ตลาดโลก

03 ก.ย. 2568 | 22:14 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ย. 2568 | 22:31 น.

‘อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์‘ เตรียมจัดสองงานใหญ่ เปิดเวทีอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัด ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยและภูมิภาคอาเซียนสู่ตลาดโลก

KEY

POINTS

  • อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เตรียมจัดงาน Food ingredients Asia และ Vitafoods Asia 2025 ระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์
  • งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีเจรจาธุรกิจและแสดงนวัตกรรม ผลักดันผู้ประกอบการไทยด้านส่วนผสมอาหารและสารสกัดสู่ตลาดโลก
  • มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประเทศไทยจาก "ครัวของโลก" สู่ "ศูนย์กลางนวัตกรรมส่วนผสมอาหารแห่งเอเชีย" ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพและสังคมผู้สูงอายุ

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เตรียมจัดงานใหญ่พร้อมกัน ได้แก่ งาน Food ingredients Asia (Fi Asia 2025) และ Vitafoods Asia 2025 เวทีระดับนานาชาติสำหรับอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัด ระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ภายในงานจะมีผู้จัดแสดงสินค้า (exhibitor)จาก 70 ประเทศ รวมกว่า 1,400 ราย คาดว่าจะมี ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ซื้อ (buyers) เดินทางเข้ามาร่วมงานประมาณ 3.6 หมื่นราย

“ประเทศไทยยังคงเป็น Kitchen of the World หรือครัวของโลก อาหารยังเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนทั้งภาคเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ การจัดทั้งสองงานร่วมกันจะเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงเรื่องอาหาร เป็นเวทีเจรจาธุรกิจ รวมถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวกับส่วนผสม (Ingredient) ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งปัจจุบันถูกขับเคลื่อนโดยสังคมผู้สูงอายุ และความสนใจด้านสุขภาพของผู้บริโภค ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว”

ภายในงานยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ต่างๆ ข้อมูลทางเศรษฐกิจ และการจดทะเบียนสินค้า ซึ่ง Informa ได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดงานสัมมนาทางวิชาการและสัมมนาเกี่ยวกับเทรนด์ที่ต่างๆ โดยจะมี สัมมนามากกว่า 100 หัวข้อ เช่น Customer trend (เทรนด์ผู้บริโภค), Regulatory update (การอัปเดตกฎระเบียบ) สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการส่งออกไปต่างประเทศ, การจดทะเบียนฮาลาลในต่างประเทศ เป็นต้น

ผู้ประกอบการไทย เตรียมปลดล็อคธุรกิจ ‘ส่วนผสมอาหาร-สารสกัด’ สู่ตลาดโลก

นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีโอกาสก้าวจาก “ครัวของโลก” (Kitchen of the World) ไปสู่ “ศูนย์กลางนวัตกรรม Food Ingredient แห่งเอเชีย” ได้จริงในอนาคต โดยประเทศไทยสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ จากการผลิต Functional Ingredients (เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ, โปรตีนจากพืช, เสริมภูมิคุ้มกัน, Anti-aging) ที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุและผู้รักสุขภาพ ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเฉพาะ (Specialty Ingredients) จากต่างประเทศ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงโภชนาการที่ดีขึ้น และลดภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว

ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดปี 2568 โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 90,000 ล้านบาท หรือ เติบโตประมาณ 7 – 9% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน อาหารบำรุงสมอง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิว ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีจุดแข็งที่สำคัญในการแข่งขัน

ทั้งในด้านวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย ที่สามารถนำมาสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามความท้าทายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนเทคโนโลยีที่สูง และการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งในต่างประเทศ ดังนั้น การเข้าถึงนวัตกรรมและเครือข่ายระดับโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เวที Fi Asia & Vitafoods Asia 2025 จึงเข้ามามีบทบาทในการเป็นตัวเร่งสำคัญเพื่อปลดล็อคศักยภาพเหล่านั้น โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ เข้าถึงเทคโนโลยีและส่วนผสมใหม่ๆ งานนี้เปิดโอกาสให้พบกับนวัตกรรมล่าสุด เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืชและจุลินทรีย์, สารสกัดจากสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเฉพาะ, และเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน สร้างเครือข่ายธุรกิจระดับสากล การรวมตัวของผู้ผลิต ผู้ซื้อ และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกกว่า 30,000 คน

ทำให้เกิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยกระดับความน่าเชื่อถือ การได้นำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวทีนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ และยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของไทยมีคุณภาพทัดเทียมกับมาตรฐานสากล

ผู้ประกอบการไทย เตรียมปลดล็อคธุรกิจ ‘ส่วนผสมอาหาร-สารสกัด’ สู่ตลาดโลก

ดร. ภณธกร วงศ์เจริญ กรรมการสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์นวัตกรรมอาหารเครือบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เสริมว่า ประเทศไทยมีโอกาสมากมายจากเมกะเทรนด์โลก ไม่ว่าจะเป็นความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารจากพืช (Plant-Based) และอาหารยั่งยืน นอกจากนี้ ชื่อเสียงของไทยในฐานะ “ครัวของโลก” ยังเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้า แต่ก็มีความท้าทายในด้านต้นทุนการผลิตที่สูง การแข่งขันจากต่างประเทศ และกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน การเร่งปลดล็อคศักยภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งในด้านการยกระดับมาตรฐาน การลงทุนในนวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ว่า อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย, นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ประกอบกับประเทศไทยมีจุดแข็งด้านคุณภาพวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งคลัสเตอร์ฯ มีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ

ผศ.ดร.พิสิฏฐ์ ธรรมวิถี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมคณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงภาคการศึกษาและภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน เพื่อให้นวัตกรรมจากห้องวิจัยถูกนำไปใช้จริงในเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจ ได้แก่ การใช้จุลินทรีย์ผลิตสารออกฤทธิ์, การสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรไทย, และการพัฒนาอาหารจากพืช ซึ่งการสร้างโจทย์วิจัยร่วมกัน การมีตัวกลางประสานงาน และการสนับสนุนด้านเงินทุน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง

ด้าน นายพานุศักดิ์ พลาวัสถ์พงษ์ อุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรุงและอาหารพร้อมรับประทาน สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวเสริมว่า แม้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ จะเป็นโจทย์สำคัญให้ผู้ประกอบการต้องฝ่าฟัน แต่การยกระดับมาตรฐานการผลิต และความปลอดภัยอาหาร (Food Safety & Compliance) ยังเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบตรวจสอบ ทำงานเชิงรุกกับตลาดคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป/สหรัฐ ที่เข้มงวดด้าน ESG และ Carbon Footprint เป็นต้น 

นอกจากนั้น การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรม (Innovation & Value Creation)พัฒนาอาหารสุขภาพ, Functional Food และ Plant-based ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ ร่วมมือกับสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และสตาร์ตอัป เพื่อสร้างสูตร/ผลิตภัณฑ์ใหม่ การปรับตัวด้านต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการใช้ระบบดิจิทัล เช่น AI และ Blockchain ในการจัดการโลจิสติกส์ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบทดแทนจากเกษตรในประเทศ เพื่อลดการนำเข้า พร้อมกับการเจาะตลาดใหม่และสร้างแบรนด์ไทยในเวทีโลก

เช่น รุกตลาดเกิดใหม่ เช่น แอฟริกา, ตะวันออกกลาง, CLMV ใช้ e-Commerce รวมถึงการขับเคลื่อนด้วยนโยบายรัฐด้วยการทำงานใกล้ชิดกับ BOI, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อดึงสิทธิประโยชน์ ขณะเดียวกันต้องสร้างมาตรฐานการผลิตที่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero และ SDGs เชื่อว่า สื่อสารภาพลักษณ์ “Thailand – Kitchen of the World” ยิ่งชัดเจนมากขึ้นในเวทีโลก