นักวิชาการชี้ ‘Gen Z' ไม่ยึดติดใบปริญญา มองการศึกษาเป็น ‘ทางเลือก’

28 ส.ค. 2568 | 08:44 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ส.ค. 2568 | 15:53 น.

Gen Z ยังคงมีอัตราการว่างงาน 3.8% เด็บจบใหม่มีอัตราว่างงานสูงถึง 2% นักวิชาการ ระบุคนรุ่นใหม่หารายตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมอง ดันสถาบันการศึกษาและองค์กรต้องปรับตัวรับมือคลื่นลูกใหม่แห่งโลกการทำงาน

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้ฉายภาพความท้าทายของตลาดแรงงานไทยในอนาคต โดยเฉพาะการก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของคนรุ่นใหม่ในกลุ่ม "Gen Z" ซึ่งมีพฤติกรรมและความคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง ทำให้ทั้งสถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ซึ่งประเมินว่าความเสี่ยงที่เด็ก Gen Z จะว่างงานเพิ่มขึ้น แม้อัตราการว่างงานของเด็ก Gen Z จะมีแนวโน้มลดลง แต่เมื่อเทียบในรายกลุ่มอายุ ระดับการศึกษา และในภาพรวมประเทศ พบว่า กลุ่มนี้ก็ยังคงมีอัตราการว่างงาน สูงที่สุดมาโดยตลอด โดยในปี 2567 Gen Z มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.8%

เมื่อพิจารณาตามระดับ การศึกษา ยังพบว่า กลุ่มอุดมศึกษาเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดที่ 2% รองลงมาเป็น กลุ่มที่จบ วิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) และอาชีวศึกษา (ปวช.) ที่มีอัตราการว่างงานที่ 1.8 และ 1.4% ตามลำดับ ทั้งที่อัตราการว่างงานในภาพรวมประเทศอยู่ที่เพียง 1%

นักวิชาการชี้ ‘Gen Z' ไม่ยึดติดใบปริญญา มองการศึกษาเป็น ‘ทางเลือก’

ผศ.ดร.บุปผา ลาภะวัฒนาพันธ์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์และสื่อสารการตลาด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าพฤติกรรมของคน Gen Z ที่ไม่ยึดติดกับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาเหมือนคนรุ่นก่อนเป็นความจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ได้เห็นถึงการลดลงของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน หมายความว่าการศึกษาไม่ได้หมดความสำคัญลงเพียงแต่เป็นการเปลี่ยนจาก “ทางเลือกหลัก” ไปสู่ “ทางเลือกที่ต้องตัดสินใจ”

สาเหตุหลักมาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งจากการมี "ไอดอล" ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องจบปริญญา และการที่คน Gen Z สามารถสร้างรายได้จากช่องทางอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้พวกเขามองว่าการทำงานเป็นเรื่องปกติและรายได้ประจำจากงานออฟฟิศไม่ใช่เพียงแหล่งรายได้เดียวอีกต่อไป

เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนักศึกษา สถาบันการศึกษาจึงต้องปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งในด้านกฎระเบียบ เช่น การแต่งกาย หรือการจัดกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เช่น การจัดคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมที่นำอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาร่วม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความผูกพันระหว่างนักศึกษากับมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ ยังมีการนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษามีทักษะที่จำเป็นสำหรับตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล และบางสถาบันมีการย่นระยะเวลาหลักสูตรให้สั้นลงเหลือ 3 ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว

ผศ.ดร.บุปผา ให้มุมมองถึง ทิศทางตลาดแรงงานในอนาคต ว่า ภาพรวมจะเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้คนมากขึ้น ไม่ได้พึ่งพาอุตสาหกรรมหนักเหมือนในอดีต แต่จะเป็นแรงงานรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและดิจิทัล

นักวิชาการชี้ ‘Gen Z' ไม่ยึดติดใบปริญญา มองการศึกษาเป็น ‘ทางเลือก’

“จริง ๆ แล้ว พฤติกรรมในตลาดแรงงานอนาคตก็ยังผูกโยงกับดีมานด์และซัพพลายอยู่ แต่พฤติกรรมคนจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญว่าแต่ละอุตสาหกรรมจะเติบโตมากหรือน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเจเนอเรชันใหม่ที่จะเข้ามาเป็นกำลังหลัก พวกเขามีความรวดเร็ว ทันสมัย และใช้เทคโนโลยีได้คล่อง ซึ่งจะเร่งให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วขึ้น”

ผศ.ดร.บุปผา เสริมว่า มหาวิทยาลัยจึงต้องปรับการเรียนการสอน เน้นเทคนิคการนำเสนอ การเล่าเรื่อง การคิดเชิงสร้างสรรค์ และการขายไอเดีย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัลมาประยุกต์จนตอบโจทย์ตลาดแรงงานได้จริง อย่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเองก็ก้าวสู่การเป็น AiUTCC ผู้นำด้านการศึกษายุคดิจิทัล ด้วยการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ

ซึ่งในโลกของการลงสนามจริงในการทำงานจะขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้บริหารองค์กร การบริหารจัดการพนักงาน Gen Z จะมีความท้าทายมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างช่วงวัย (Generation Gap) ซึ่งหากไม่สามารถหลอมรวมคนแต่ละรุ่นให้มีเป้าหมายร่วมกันได้ ก็อาจเกิดปัญหาในการทำงานและการสื่อสารภายในองค์กรได้