ปัจจัยการเมืองในประเทศไร้เสถียรภาพ-ค่าเงินบาทแข็งค่า-เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เป็น 3 ปัจจัยหลักฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แม้ภาคเอกชนจะพยายามขับเคลื่อนการส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน และความเสี่ยงจากการสวมสิทธิ์สินค้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในการค้ากับต่างประเทศ
นายกวิน กิตติบุญา อุปนายกสมาคมการแสดงสินค้า(ไทย) หรือ TEA ได้ให้ความเห็นต่อการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและ GDP ของประเทศไทย โดยระบุว่า แม้จะมีการคาดการณ์ว่า GDP ของไทยอาจขยายตัวถึง 2.2% ในช่วงสิ้นปี แต่ในมุมมองของภาคเอกชนยังคงมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายกวินกล่าวว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้อานิสงส์จากนโยบายภาษีทรัมป์ที่ปรับลดลงจาก 36% เหลือ 19% ซึ่งอยู่ในสัดส่วนเดียวกันกับประเทศกัมพูชา มาเลเซีย และใกล้คียงกับประเทศเวียดนาม ทังนี้ปัจจัยภายนอกประเทศยังคงมีความท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งต่างก็เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เช่นกัน แต่ความเสี่ยงจากการสวมสิทธิ์สินค้ายังคงเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งหากสหรัฐฯ ตรวจพบว่ามีการสวมสิทธิ์เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกของไทยในอนาคต
ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศนั้น นายกวินระบุว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือเรื่องของ เสถียรภาพของรัฐบาล ที่ยังไม่มีความชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเงินที่อัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจที่ยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมามาจากความพยายามของภาคเอกชนเป็นหลัก ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้เร่งการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางภาษี ทำให้ GDP ของประเทศเติบโต แต่ในครึ่งปีหลัง การส่งออกอาจชะลอตัวลงเนื่องจากผู้ซื้อได้สต็อกสินค้าไปแล้ว
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลอย่างยิ่ง เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนของผู้ส่งออกไทย ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องเข้ามาบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน
นายกวินย้ำว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน ภาคเอกชนควรพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด และไม่ควรคาดหวังพึ่งพิงนโยบายจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว เนื่องจากนโยบายที่ขาดความต่อเนื่องอาจทำให้การวางแผนธุรกิจเป็นไปได้ยาก โดยสิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนต้องทำคือ การหาตลาดใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลัก และการปรับตัวโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
"ผมเชื่อว่าภาคเอกชนทุกคนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะทุกคนต้องการเติบโต แต่ปัญหาคือเรายังต้องเผชิญกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดที่ตกต่ำและส่งออกได้ยาก ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องหาทางแก้ไขร่วมกัน" นายกวินกล่าวทิ้งท้าย