นายวรันธร แดงใหญ่ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท นิกิวาอิ กรุ๊ปจำกัด ผู้บริหารแฟรนไชส์ ร้านอาหารญี่ปุ่น อาทิ Nigiwai Sushi, Nigiwai Cuisine, Nigiwai Yakiniku & Sushi Buffet, Viengviet, เตี๋ยวปริญญา, ASIAN HOTPOT และ KIN MATCHA เป็นต้น เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทมีแผนเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น ในรูปแบบเอ็กซ์เพรส ภายใต้ชื่อ “นิกิเบน” (Nigiben) ให้บริการแบบ “take-away” และสามารถนั่งรับประทานภายในร้านได้ ขนาด 30-50 ตร.ม. ภายในสนามบินทั่วประเทศในไตรมาส 4 นี้
“การขยายตลาดไปสู่สนามบินในครั้งนี้นับเป็นการยกระดับบริการของนิกิวาอิให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมองว่าตลาดในสนามบินมีศักยภาพสูง เนื่องจากไม่ได้เป็นแค่พื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ยังเป็นแหล่งบริการสำหรับผู้คนที่เดินทางภายในประเทศอีกด้วย
ดังนั้นร้านของเราจึงมุ่งเน้นการเสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นในรูปแบบที่สะดวก รวดเร็ว และไม่แพง มีเมนูหลากหลายที่เหมาะสมกับคนที่ต้องการอาหารญี่ปุ่นรสชาติดีในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นหรูหราในสนามบินที่มีราคาแพง โดยเริ่มต้นที่หลักสิบบาท”
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาร้านนิกิเบนให้ได้ 50 สาขาภายใน 2 ปี โดยจะเน้นขยายสาขาในสนามบินหลักๆ ทั่วประเทศ ก่อนที่จะขยายไปสู่สนามบินรองอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขาไปตามต่างจังหวัดโดยตั้งเป้าไปให้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทำการตลาดออนไลน์เป็นหลัก
เพราะต้องการให้เห็นความเคลื่อนไหวของแบรนด์และดึงดูดความสนใจให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารในปี 2570 ด้วย
ด้านกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทวางแผนที่จะใช้ทั้งกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อดึงดูดลูกค้าผ่านการโปรโมทในแต่ละโลเคชั่น โดยเฉพาะการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างการรับรู้ในพื้นที่ต่างๆ ที่มีสาขาของนิกิวาอิ รวมทั้งการโปรโมทผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากทั่วประเทศ โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีและการตลาดแบบ Local Marketing ที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าภายในแต่ละพื้นที่ได้อย่างตรงจุด
ส่วนการจัดหาวัตถุดิบในปัจจุบันพบว่า วัตถุดิบหลายรายการที่ใช้ในร้านมาจากจีน เช่น ไข่ปลาและปลาไหล ที่แต่เดิมจะนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่ด้วยราคาวัตถุดิบจากญี่ปุ่นที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการหันไปใช้สินค้าจากจีนแทน ซึ่งปลาไหลจากจีนที่ได้รับความนิยมในตลาดไทย ราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่น 15-30% และสามารถส่งถึงไทยภายใน 1-2 วัน
นอกจากช่วยลดต้นทุนแล้ว ยังทำให้ควบคุมราคาสินค้าได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามในบางกรณีที่ต้องการมาตรฐานคุณภาพสูง เช่น ปลาแซลมอนและบางผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ผู้ประกอบการยังคงต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากญี่ปุ่นเพื่อรักษาคุณภาพตามความคาดหวังของลูกค้า
สำหรับภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในไตรมาส 3 พบว่าธุรกิจร้านอาหารมีการดำเนินงานไม่ค่อยดีนัก มาจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. เสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
2. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง การลงทุนในธุรกิจต่างๆ ลดน้อยลง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีผลต่อการใช้จ่ายในร้านอาหารก็ลดลงเช่นกัน 3.วิกฤติต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนวัตถุดิบหรือปัญหาการขนส่งทำให้ร้านอาหารต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดหาวัตถุดิบในการดำเนินธุรกิจ
และ 4. ไตรมาส 3 ของทุกปีเป็นช่วงโลว์ซีซัน ของธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งมีฝนตกหนักและอาจส่งผลต่อการเดินทางของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่เปิดเทอมทำให้กำลังซื้อจากครอบครัวและกลุ่มลูกค้าทั่วไปลดลง อีกทั้งความพร้อมในการใช้จ่ายของลูกค้ายังไม่เต็มที่ โดยมองว่าในไตรมาส 4 ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารน่าจะดีขึ้น เพราะเป็นช่วงปลายปีที่ผู้บริโภคเริ่มมีการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น การเฉลิมฉลองปีใหม่ รวมไปถึงการจ่ายเงินโบนัสของพนักงานที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายอีกด้วย
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,121 วันที่ 10 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568