ตลาดสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมมือสองในประเทศไทยกำลังเป็นดาวเด่นที่น่าจับตา ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% โดยพบว่าในปี 2567 ตลาดนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ระบุว่าตลาดลักชัวรีแบรนด์โดยรวมในไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท และช่องทางสินค้ามือสองมีสัดส่วน 10-20% ไม่รวมการซื้อขายออนไลน์และการซื้อขายกันเอง
การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งกระแสความยั่งยืน (Circular Fashion) ที่ได้รับอิทธิพลจากยุโรปและแพร่หลายเข้าสู่ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาทางเลือกที่คุ้มค่ามากขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย นอกจากนี้ การที่ลักชัวรีแบรนด์ระดับโลกแห่เข้ามาเปิดสาขาในไทยอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นการกระตุ้นความต้องการและทำให้ธุรกิจแบรนด์เนมมือสองเติบโตตามไปด้วย
ล่าสุด RAGTAG (แร็กแท็ก) เชนร้านแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรีมือสองชื่อดังจากญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจเข้ามาเปิดดำเนินการในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหกรุ๊ป ซึ่งเลือกเปิดสาขาแรกที่ One Bangkok ด้วยงบลงทุนสูงถึง 18 ล้านบาท บนพื้นที่ 165 ตร.ม.
“ฮายาโตะ โมเทกิ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร RAGTAG ให้เหตุผลว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดสินค้ามือสองกลับเป็นโอกาสสำคัญ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มรัดเข็มขัดและมองหาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น
ทั้งนี้ RAGTAG ก่อตั้งขึ้นในปี 2528 ที่ย่านฮาราจุกุ โตเกียว และประสบความสำเร็จจนขยายสาขาในญี่ปุ่นถึง 24 แห่ง จุดเด่นของ RAGTAG คือการนำเสนอสินค้าแบรนด์เนมและลักชัวรีมือสองกว่า 5,000 แบรนด์ ที่ผ่านการคัดสรรและตรวจสอบคุณภาพอย่างพิถีพิถันโดยผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น เน้นความเป็นแฟชั่นตั้งแต่การคัดเลือกสินค้า การจัดวางในร้าน การบริการ ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้า
อย่างไรก็ดี ก่อนเข้ามาลงทุนเปิดสาขาในไทย RAGTAG เคยทดลองตลาดด้วยการจัด Pop-up Store ในไทย เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค โดยพบว่าคนไทยมีความสนใจในแฟชั่นอย่างมาก และนิยมสินค้าสไตล์โอเวอร์ไซส์และสินค้าที่สะดุดตา ซึ่งแตกต่างจากญี่ปุ่นเล็กน้อย และยังพบว่าคนไทยให้ความสำคัญกับแนวคิดแฟชั่นยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ RAGTAG ที่ให้คุณค่ากับการใช้ซ้ำอย่างมีสไตล์เพื่อลดขยะในอุตสาหกรรมแฟชั่น
สำหรับตลาดในประเทศไทย RAGTAG มองว่าตนเองยังไม่มีคู่แข่งโดยตรงในเซกเมนต์เดียวกัน ถือเป็นการเข้ามากระตุ้นตลาดและสร้างการรับรู้ โดยคาดหวังว่าการเข้ามาของ RAGTAG จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์แฟชั่นมือสองของไทยให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าดีไซเนอร์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้
อย่างไรก็ตามการร่วมทุนกับสหกรุ๊ป ICC International PCL ถือหุ้น 49% ในบริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 90 ล้านบาท จะช่วยสนับสนุน RAGTAG ในด้านบุคลากร การจัดการบัญชี และระบบการจัดการสินค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารร้านที่มีสินค้าหมุนเวียนจำนวนมาก โดยที่ญี่ปุ่น RAGTAG มีระบบการจัดการสินค้าที่เข้มงวด มีผู้เชี่ยวชาญ (Buyer) กว่า 100 คน และสามารถรับซื้อสินค้าจากลูกค้าได้กว่า 900,000 รายการต่อปี
“แบรนด์ RAGTAG เป็นคุณภาพฉบับญี่ปุ่น ซึ่งได้การคัดสรรอย่างพิถีพิถัน” โดยมั่นใจว่าแนวคิดแฟชั่นยั่งยืนผสมผสานกับการนำเสนอสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ จะทำให้ RAGTAG ประสบความสำเร็จในตลาดไทย และเป็นก้าวแรกสู่การขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
ตลาดสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมมือสอง จึงเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจกับโอกาสเติบโตตามกระแสวัตถุนิยมเฉกเช่นทุกวันนี้
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,116 วันที่ 24 - 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568