บิ๊กคอร์ปโต้คลื่นเศรษฐกิจซบ ควักเงินลงทุนคว้า “โอกาส” ในวิกฤต

11 ก.ค. 2568 | 22:05 น.

บิ๊กคอร์ป แห่ลงทุนสวนกระแสเศรษฐกิจซบ “เครือสหพัฒน์-เซ็นทรัล รีเทล-มากุโระ-สุกี้ตี๋น้อย” ชี้ช่องว่างตลาด ผุดโมเดลใหม่ รุกขยายฐานลูกค้า ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

จับตาการลงทุนภาคเอกชนไทย หลังตัวเลขการลงทุนไตรมาสที่ 1 ปี 2568 หดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันอยู่ที่ -0.9% และมีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 กลายเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก ในขณะที่หลายฝ่ายมองเห็นความเสี่ยง แต่ยังมีบิ๊กธุรกิจที่มองเห็น “โอกาส” ในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา เดินหน้าทุ่มงบลงทุนต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดและช่องว่างที่รอการเข้าถึง

บิ๊กคอร์ปโต้คลื่นเศรษฐกิจซบ ควักเงินลงทุนคว้า “โอกาส” ในวิกฤต

นายพิภพ โชควัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า แม้จะมีแผนเรื่องการชะลอการลงทุนในกลุ่มธุรกิจแฟชั่นของเครือสหพัฒน์ลง แต่นิวซิตี้ ก็ยังมีการขยายไลน์การผลิตเพื่อส่งออกสินค้า และรับจ้างผลิตอยู่โดยมองว่าแม้สถานการณ์เศรษฐกิจซบเซา “การลงทุนเอกชน” สำคัญกว่าการกระตุ้นบริโภคระยะสั้น

บิ๊กคอร์ปโต้คลื่นเศรษฐกิจซบ ควักเงินลงทุนคว้า “โอกาส” ในวิกฤต

 “ผมมองเรื่องของการลงทุนเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม ซึ่งได้ประโยชน์มากกว่า ถ้ารัฐไม่ได้ลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มีการลงทุนให้เอกชนมีแต้มต่อในการลงทุน จะช่วยทำให้เกิดการลงทุนในเมืองไทยมากขึ้น”

อยากแนะว่า รัฐบาลควรพิจารณากลับมาใช้มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในรูปแบบที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต อาทิ การให้นโยบายที่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนเครื่องจักรใหม่ หรือการก่อสร้างอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน ไป “หักภาษี” ได้เป็นสัดส่วน หรืออาจจะให้สิทธิ์ในการหักภาษีได้เป็นระยะเวลา 3 ปี

 “ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนพลังงานสะอาด เครื่องจักรใหม่ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างแวร์เฮาส์ หรือโครงสร้างที่สามารถใช้ระหว่างประเทศได้ เรื่องพวกนี้เชื่อว่ามีประโยชน์ทั้งหมด”

ขณะเดียวกันบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ในเครือสหพัฒน์ ก็ขยายการลงทุนเช่นกัน โดยเบื้องต้นลงทุน 145 ล้านบาท จัดตั้งบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ เบเวอร์เรจ จำกัด ก่อนที่จะใช้เงิน 142 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบริษัท ชาจี (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้บริหารร้านชาพรีเมี่ยม “CHAGEE” โดยไทยเพรซิเดนท์ เบเวอร์เรจ ถือหุ้น 51% และ Cha Explorer Co., Ltd. ถือหุ้น 49% พร้อมเดินหน้าลงทุนและรุกทำตลาดต่อเนื่อง

 ด้านนายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO กล่าวว่า ช่วงเวลานี้การลงทุนเป็นการลงทุนที่เสี่ยงมากขึ้น แต่เราเองก็มีการประเมินความเสี่ยงเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าทุกการลงทุนของเรามาจากการวางแผนอย่างชาญฉลาด

บิ๊กคอร์ปโต้คลื่นเศรษฐกิจซบ ควักเงินลงทุนคว้า “โอกาส” ในวิกฤต

พร้อมชี้ว่า นี่คือการ “คว้าโอกาสดีๆ ในช่วงที่ทุกคนหวาดกลัว” ทำให้สามารถได้พื้นที่หรือทำเลดีๆ หรือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรุกตลาดในช่วงที่ไม่มีใครขยับขยาย ส่งผลให้การแข่งขันมีความเข้มข้นน้อยลง และมีความง่ายมากขึ้นด้วยซ้ำ จึงไม่มีการปรับลดจำนวนสาขาที่จะเปิดลง แต่กลับมีแผนเปิดเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

 โดยครึ่งปีหลังนี้มากุโระจะลงทุนเปิดแบรนด์ใหม่ “BINCHO” ซึ่งเกิดขึ้นจากการมองเห็น Pain Point ของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว ที่ต้องการควบคุมงบประมาณในการทานอาหารแต่ละมื้อ การเสิร์ฟในรูปแบบ “เทโชกุ” หรืออาหารเซตที่มาพร้อมข้าว ซุป และเครื่องเคียงครบครัน ในราคาที่เข้าถึงง่ายเฉลี่ย 300-600 บาทต่อคน จึงตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี โดยภายใน 2-3 ปี ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 10-20 สาขา โดยเน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ด้วยงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งสาขาที่ 2 มีแผนจะเปิดในช่วงต้นปี 2569

 ปัจจุบัน แผนการขยายสาขายังคงเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะขยายไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะ “หัวเมืองใหญ่” แต่ยังไม่มีความชัดเจน 100% และต้องประเมินกำลังซื้อของจังหวัดข้างเคียงด้วย เนื่องจากต่างจังหวัดได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างมากในวันธรรมดา ซึ่งทำให้การบริโภคค่อนข้างเงียบเหงา

 ขณะที่ นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า ภาพรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้มีความท้าทายสูง ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่เห็นการชะลอตัวชัดเจนตั้งแต่เดือนเมษายน แต่ CRC ยังกางโรดแมปปี 2568-2570 ทุ่มงบ 4.5-4.7 หมื่นล้าน สร้าง New Growth Engine สปีดสาขา 2 ธุรกิจน้องใหม่ GO WHOLESALE ปักธงเพิ่ม 12-18 สาขา AUTO 1 ผุดปีละ 10 สาขา พร้อมอัดโปรโมชั่นปลุกกำลังซื้อ-ขยายฐานกลุ่มเมนสตรีมรับมือเศรษฐกิจ ย้ำคุมค่าใช้จ่ายแน่น มั่นใจเป้ารายได้-EBITDA โต 5% ต่อปี

บิ๊กคอร์ปโต้คลื่นเศรษฐกิจซบ ควักเงินลงทุนคว้า “โอกาส” ในวิกฤต

 ดังนั้นเพื่อรับมือความท้าทายเหล่านี้และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ บริษัทจึงวางแผนรับมือทั้งระยะสั้นด้วยการทำโปรโมชั่นกระตุ้นการจับจ่ายเพื่อชดเชยผลกระทบจากเศรษฐกิจ และแผนระยะยาวด้วยการมุ่งสร้างการเติบโตในจุดที่ยังเป็นช่องว่าง โดยมีโรดแมประยะ 3 ปี (2568-2570) เตรียมลงทุนประมาณ 4.5-4.7 หมื่นล้าน เพื่อสร้าง New Growth Engine ด้วยการสปีดสาขาของธุรกิจที่มีศักยภาพแต่ยังมีสาขาน้อยอย่าง GO WHOLESALE ศูนย์ค้าปลีก-ส่ง และ AUTO 1 ศูนย์บริการ-จำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ครบวงจร พร้อมเฟ้นหาผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ว่าจะเป็น B2C หรือ B2B

 นางสาวนัทธมน พิศาลกิจวนิช ผู้ก่อตั้งร้านสุกี้ตี๋น้อย กล่าวว่า ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมีสาขารวม 86 แห่ง และตี๋น้อยบาร์บีคิว 4 สาขา ซึ่งในช่วงต้นปี 2568 ได้เปิดไปแล้ว 11 สาขา และเตรียมเปิดเพิ่มอีก 10 สาขาในช่วงครึ่งปีหลัง โดยตั้งเป้าการขยายสาขาในปี 2569 ไว้ถึง 32 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนเชิงรุกที่สวนทางกับบรรยากาศการลงทุนโดยรวมในตลาดร้านอาหาร

บิ๊กคอร์ปโต้คลื่นเศรษฐกิจซบ ควักเงินลงทุนคว้า “โอกาส” ในวิกฤต

ซึ่งการบุกตลาดต่างจังหวัดของสุกี้ตี๋น้อยได้รับผลตอบรับดีเกินคาด ยอดขายในสาขาต่างจังหวัดหลายแห่ง สูงกว่ากรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ เพราะในต่างจังหวัดยังมีตัวเลือกของร้านอาหารบุฟเฟต์ไม่หลากหลายเท่าในกรุงเทพฯ และกำลังซื้อในหัวเมืองใหญ่ยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีศักยภาพสูงอย่าง ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และอุดรธานี ทั้งนี้บริษัทมีแผนรีแบรนด์ “ตี๋น้อยเอ็กซ์เพรส” กลับมาทำตลาดในช่วงปลายปีนี้ พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์ใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มตลาด “พรีเมียมแมส” ด้วย ซึ่งการรุกทำตลาดต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเชื่อมั่นและตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้หมื่นล้านบาทในปี 2569 ด้วย

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,113 วันที่ 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568