"มากุโระ" เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "บินโช" ราคาเข้าถึงง่าย ฝ่าตลาดซบเซา

07 ก.ค. 2568 | 08:03 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ค. 2568 | 08:08 น.

"มากุโระ กรุ๊ป" กลับเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น เปิดตัว "บินโช" (BINCHO) แบรนด์น้องใหม่ลำดับที่ 6 ชูคอนเซ็ปต์ "Washoku for now" เสิร์ฟอาหารเซ็ตญี่ปุ่นย่างถ่านต้นตำรับจากวัตถุดิบคุณภาพ ในราคาเริ่มต้นเพียง 170 บาท พร้อมเปิดสาขาแรก 9 ที่เมกาบางนา

แม้ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจะมีขนาดใหญ่และอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน แต่ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้กำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ อย่างไรก็ตาม "มากุโระ" (Maguro) มองว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้ โดยเฉพาะในรูปแบบอาหารเฉพาะทาง และการขยายสู่หัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัด ขณะเดียวกันก็ชี้ถึงความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันที่รุนแรงจาก

"มากุโระ" เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "บินโช" ราคาเข้าถึงง่าย ฝ่าตลาดซบเซา

นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGUROกระตุ้นตลาดธุรกิจ อาหาร สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เปิดตัว BINCHO (บินโช) ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่านแบบญี่ปุ่นดั่งเดิม ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ 6 ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ชูความโดดเด่นด้วยแนวคิด “Washoku for now” นำเสนอแก่นแท้ของอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมวีถีชนบท ในราคาคุ้มค่าที่เข้าถึง ง่ายกับทุกคน อิ่มอร่อยได้ทุกวัน เมนูอาหารเซ็ตราคาเริ่มต้นเพียง 170 บาท พร้อมเปิดให้บริการ อย่างเป็นทางการ วันที่ 9 ก.ค. 2568 สาขาแรก ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้า เมกาบางนา

ด้วยจุดเด่นจากแนวคิด “Washoku for now” นำเสนอแก่นแท้ของอาหารญี่ปุ่นแบบดั่งเดิมวิถีชนบท สู่ชีวิตคนเมือง ซึ่งเราเล็งเห็นถึงโอกาสในการ สร้างจุดขายที่โดดเด่นและแตกต่าง โดยถึงแม้ว่า สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารโดยรวมในปี 2568 จะเติบโต ไม่มาก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดร้านอาหารรวมจะอยู่ที่ประมาณ 646,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากปีก่อนหน้า

"มากุโระ" เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "บินโช" ราคาเข้าถึงง่าย ฝ่าตลาดซบเซา

ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับ GDP ของประเทศ และยังกล่าวถึง 5 ปัจจัย ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบันสำหรับธุรกิจอาหาร ได้แก่ ความแปลกใหม่ ประสบการณ์ คุณภาพ สุขภาพ ราคาสมเหตุสมผล จึงทำให้มั่นใจว่า BINCHO จะ สามารถนำเสนอประสบการณ์มื้ออาหารที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่ม Mid Market ที่ชื่นชอบอาหารอร่อย แปลกใหม่ และคุ้มค่า เหมาะสมในทุกองค์ประกอบอย่างครบถ้วนทุกปัจจัย  

นอกจากนี้ให้มุมมองต่อตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในภาพรวมว่า "เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว และอยู่คู่กับคนไทยมานาน" แต่ยอมรับว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้อง "พัฒนาคุณภาพและรักษามาตรฐาน" ที่ดีอยู่แล้วไว้ให้ได้ และต้อง "ทํางานหนักมากขึ้นในทุกมิติ"

"ด้วยความที่อาหารญี่ปุ่นเองไม่ได้เป็นอาหารแฟชั่น แต่เป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมาหลายสิบปี และอยู่ใน Top of Mind ของผู้บริโภค เราจึงมีความมั่นใจว่า ตลาดนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้ เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง"

โอกาสการเติบโต อาหารเฉพาะทาง-หัวเมืองต่างจังหวัดคือเป้าหมายใหม่

เมื่อถามถึงทิศทางการเติบโต นายจักรกฤติ ชี้ว่าโอกาสจะอยู่ในกลุ่ม "อาหารประเภทใหม่ๆ" ที่เป็นลักษณะ "Specialist" หรืออาหารเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งแตกต่างจากโมเดลร้านอาหารญี่ปุ่นแบบวาไรตี้ทั่วไปที่เคยเป็นที่นิยม

ในส่วนของภาวะตลาดโดยรวม ผู้ประกอบการหลายรายกำลังเผชิญความท้าทาย ซึ่งอาจส่งผลให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา และผู้ประกอบการบางรายต้องออกจากตลาดไป อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังคงมั่นใจว่าการเติบโตยังสามารถไปต่อได้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ยังมีพื้นที่อีกมากซึ่งไม่ได้มีอาหารญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกมากนัก

"ในส่วนของต่างจังหวัดเองก็ยังเป็นโอกาสอันใหญ่หลวงเหมือนกัน ที่ผู้ประกอบการยังสามารถที่จะสร้างคุณค่า ทำแบรนด์ให้ดี มีเมนูอาหารที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน และเติบโตต่อไปได้ในหัวเมืองใหญ่ๆ นอกกรุงเทพฯ"

"มากุโระ" เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "บินโช" ราคาเข้าถึงง่าย ฝ่าตลาดซบเซา

ทั้งนี้ซึ่งครึ่งปีหลังนี้มากุโระลงทุนเปิดแบรนด์ใหม่  BINCHO เกิดขึ้นจากการมองเห็น Pain Point ของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว ที่ต้องการควบคุมงบประมาณในการทานอาหารแต่ละมื้อ การเสิร์ฟในรูปแบบ “เทโชกุ” หรืออาหารเซตที่มาพร้อมข้าว ซุป และเครื่องเคียงครบครัน ในราคาที่เข้าถึงง่ายเฉลี่ย 300-600 บาทต่อคน จึงตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี โดยภายใน 2-3 ปี ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 10-20 สาขา โดยเน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ด้วยงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งสาขาที่ 2 มีแผนจะเปิดในช่วงต้นปี 2569