“คนแบกกุ้ง” ขยายไลน์สินค้า-โรงงาน ตั้งเป้ารายได้ทะลุพันล้านปี 70

29 มิ.ย. 2568 | 18:21 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มิ.ย. 2568 | 14:22 น.

“คนแบกกุ้ง” ปักหมุดรุกตลาดน้ำปลาหมื่นล้าน เดินหน้าสร้างแบรนด์พร้อมแตกไลน์สินค้าน้ำพริก น้ำจิ้ม แจ่ว ขยายโรงงานผลิต รองรับตลาดใน-ต่างประเทศ มั่นใจกวาดรายได้ทะลุพันล้านในปี 2570

จากกิจการผลิตน้ำปลาของครอบครัวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2497 โดยคุณพ่อบักเอี่ยมและลูกชาย บุ้งชอ แซ่โซว ได้ก่อตั้งโรงงานขนาดเล็ก เน้นการขายน้ำปลาบรรจุถังให้กับโรงงานและกลุ่มผู้บรรจุรายย่อย โดยใช้ “ไห” เป็นภาชนะ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “ถัง” ขนาด 25-30 ลิตร ต่อมาในปี 2522 เมื่อกฎหมายด้านการผลิตอาหารและสุขลักษณะเข้มงวดขึ้น กลุ่มผู้บรรจุรายย่อยจำนวนมากปรับตัวไม่ทัน ทำให้หลายรายนำตราสินค้าของตนมาให้บริษัทบรรจุให้แทน ตลอดระยะเวลา 70 ปี วันนี้แบรนด์ “คนแบกกุ้ง” เป็นที่รู้จักและอยู่คู่ครัวของคนไทยหลายครอบครัว

“คนแบกกุ้ง” ขยายไลน์สินค้า-โรงงาน ตั้งเป้ารายได้ทะลุพันล้านปี 70

นายกวิน ยงสวัสดิกุล” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมน้ำปลาระยอง จำกัด ผู้ผลิตน้ำปลา ภายใต้แบรนด์ “คนแบกกุ้ง” และ “หอยเป๋าฮื้อ” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เส้นทาง 70 ปีของคนแบกกุ้งในวันนี้ จากโรงงานเล็กสู่ผู้ผลิตน้ำปลาแท้ชั้นนำของประเทศ พร้อมปรับกลยุทธ์จากผู้ผลิตเบื้องหลัง สู่การสร้างแบรนด์รุกตลาดค้าปลีกพรีเมียมและขยายส่งออก และตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 1,000 ล้านบาทในปี 2570 แม้ต้องฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจผันผวนและรับมือกับกฎหมายควบคุมโซเดียมที่เข้มงวดขึ้น

“ในยุคแรก เรามีตราสินค้าของเราเองคือ ‘ปลาทิพย์’ แต่กำลังการผลิตที่จำกัดทำให้เราขายได้เฉพาะกลุ่มเล็กๆ ในพื้นที่ การเติบโตของเราจึงมาจากการขายแบบถังและรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับลูกค้ารายใหญ่ เช่น ซีพีคอนซูเมอร์ ภายใต้ตรา ‘คนแบกกุ้ง’ ซึ่งส่วนแรกของการบุกตลาดค้าปลีกคือการตีตลาด ‘ของฝาก’ ประจำจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำปลาที่ดีที่สุดในไทย”

“คนแบกกุ้ง” ขยายไลน์สินค้า-โรงงาน ตั้งเป้ารายได้ทะลุพันล้านปี 70

หลังเข้ามารับช่วงธุรกิจในปี 2533 และได้เผชิญกับความท้าทายมากมาย ในช่วงแรกยังคงเน้นการรับจ้างผลิตน้ำปลา รวมถึงแบรนด์ “คนแบกกุ้ง” จนกระทั่งราวปี 2550 บริษัทได้ตัดสินใจซื้อแบรนด์ “คนแบกกุ้ง” มาบริหารเองเพื่อทำตลาดอย่างเต็มตัว ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ น้ำปลา “คนแบกกุ้ง” และ “หอยเป๋าฮื้อ” ซึ่งสามารถกวาดรายได้ในปี 2567 ไปถึง 650 ล้านบาท

 ตลาดน้ำปลาโดยรวมของประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีการส่งออกอีกประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยกลุ่มน้ำปลาระดับพรีเมียมมีมูลค่าราว 1,000-1,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโตที่สูง ส่วนตลาดแมสแบ่งเป็นกลุ่มระดับกลางประมาณ 6,000 ล้านบาท และระดับล่าง 3,000-4,000 ล้านบาท

 “ปัจจุบันเราส่งออกประมาณ 25% และจำหน่ายในประเทศ 75% โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 30-40% ในอนาคต”

 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักคือการที่บริษัทเข้าสู่ตลาดค้าปลีกช้ากว่าคู่แข่ง ทำให้ต้องออกแรงมากในการแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยเน้นการเจาะช่องทางเฉพาะ เช่น ร้านอาหาร หรือกลุ่มลูกค้าพรีเมียมที่ใส่ใจในคุณภาพ

 อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญคือ กฎหมายและแนวโน้มการควบคุมปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส เช่น ภาษีความเค็ม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำปลา ปัจจุบันกฎหมายพื้นฐานกำหนดโซเดียมขั้นต่ำไว้ที่ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร หากมีการปรับลดลง ผู้ประกอบการต้องปรับสูตร โดยบริษัทเลือกที่จะลดโซเดียมเพียงอย่างเดียว ไม่เพิ่มโพแทสเซียมคลอไรด์ เพื่อให้เหมาะกับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มและหลีกเลี่ยงข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคไต

 สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจใน 1-3 ปีข้างหน้า นายกวินตั้งเป้าให้บริษัทเติบโตสู่ระดับ “พันล้านบาท” ในปี 2570 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ซึ่งเป็นการตั้งเป้าก่อนเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันที่คาดว่าจะส่งผลกระทบมากขึ้น นอกจากการมุ่งเน้นธุรกิจน้ำปลาแล้ว บริษัทยังมีแผนขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น น้ำพริกน้ำจิ้ม, แจ่ว, และน้ำปลาหวาน รวมถึงแผนขยายโรงงานที่ระยอง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เหล่านี้ ปัจจุบันโรงงานหลักยังอยู่ที่ระยอง

 นายกวินยอมรับว่า “ความคาดเดายากของภาวะตลาด” คือความท้าทายที่สุดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีในธุรกิจน้ำปลา เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือเรื่องของระบบมาตรฐานต่างๆ ทั้งคุณภาพการผลิตและความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงระบบสวัสดิการแรงงานที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น

 

หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,109 วันที่ 29 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568