ท่ามกลางสมรภูมิหม้อร้อนที่กำลังดุเดือดด้วยสงครามราคาบุฟเฟต์ "ชาบูชิ" แบรนด์สุกี้ชาบูและซูชิยอดนิยมในเครือโออิชิ โฮลดิ้ง ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ลงไปเล่นในเกมตัดราคา แต่จะมุ่งเน้นการรีเฟรชแบรนด์ สร้างประสบการณ์ "Social Bonding" มัดใจผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z พร้อมลงทุนพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบและเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด
แซม ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ภาพรวมตลาดร้านอาหารในปีนี้จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ชาบูชิ ซึ่งทำรายได้กว่า 80% ให้กับกลุ่มร้านอาหารของโออิชิ โฮลดิ้ง ยังคงแข็งแกร่ง และปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ในปัจจุบัน
แซม ไพศาล ผู้บริหารชาบูชิ เปิดเผยถึงบรรยากาศการแข่งขันในตลาดชาบูบุฟเฟต์ที่หลายเจ้าลงสนามแข่ง “สงครามราคา” ว่า "บรรยากาศแบบนี้มันเฮลตี้กับผู้บริโภค” เพราะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและได้ประโยชน์จากราคาที่ลดลง อย่างไรก็ตาม คุณแซมย้ำว่า
"เราไม่ลงไปเล่นหรอกสงครามราคา"
แซม ไพศาล เน้นย้ำถึงเหตุผลที่ชาบูชิไม่เข้าร่วมการแข่งขันด้านราคาว่า การที่แบรนด์จะอยู่รอดได้นานนั้นต้องมี "อะไรดี" และที่ชาบูชิอยู่มาได้นานก็เพราะมีจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ชัดเจน "เกมการตลาดเป็นเกมของแบรนด์ เรามองว่าราคากับแบรนด์โพสิชั่นนิ่งต้องไปด้วยกัน" การมี Brand Positioning ที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาบูชิ
"ถ้าผมเป็นร้านอาหารในโรงแรมแล้วผมจะขายราคาแบบฟู้ดคอร์ต ผมจะรอดหรือเปล่า"
แม้จะมองว่าสงครามราคาเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในระยะสั้น แต่ชาบูชิเชื่อว่า "การแข่งขันแบบนี้อาจจะไม่ยั่งยืน" สำหรับธุรกิจในระยะยาว การมุ่งเน้นที่การพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบ รสชาติที่หลากหลาย และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักที่ชาบูชิเลือกใช้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดหม้อร้อนที่ดุเดือดนี้ ปัจจุบันราคาชาบูชิเริ่มต้นที่
นางสาวศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ชาบูชิได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ภายใต้แนวคิด "Social Bonding" เพื่อสร้างประสบการณ์และความรู้สึกร่วมกับคนรุ่นใหม่ โดยเน้นการทำการตลาดที่แตกต่างออกไป มุ่งเน้นการพัฒนารสชาติและเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่ราคาที่ถูกลง
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ คือ การเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่แรกของแบรนด์ ได้แก่ คู่มิตรภาพ(สุดฮอต)แห่งปี #สกายนานิ “สกาย” วงศ์รวี นทีธร และ “นานิ” หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ ซึ่งเป็นตัวแทนของความสดใส มิตรภาพ และพลังบวก ในแบบที่ผู้บริโภครุ่นใหม่สามารถเชื่อมโยงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่รวมความแตกต่างแต่ลงตัว ทั้งชาบู – ชาบู และซูชิ สองรสชาติที่ขาดกันไม่ได้ และช่วยยกระดับแบรนด์ให้ดูเข้าถึงง่ายแต่มีเสน่ห์ เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มแฟนคลับที่มีอิทธิพลต่อเทรนด์ในโซเชียล
แม้ว่าวัตถุดิบอาจมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น แต่ชาบูชิยืนยันว่าจะ ไม่ปรับราคาบุฟเฟต์ขึ้น (ปัจจุบันมีราคา 399, 499, 599 บาท) เพื่อรักษาความคุ้มค่าและคุณภาพของวัตถุดิบที่หลากหลาย ชาบูชิเชื่อว่าแบรนด์จะคงอยู่ได้นานเพราะมี "อะไรดี" และมี "แบรนด์โพสิชั่นนิ่ง" ที่ชัดเจน ไม่ใช่การลงไปเล่นในสงครามราคาที่อาจไม่ยั่งยืน แต่ผู้บริโภคคือผู้ได้รับประโยชน์จากความคุ้มค่าและคุณภาพ
ด้านการขยายสาขา ชาบูชิยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ได้เปิดไปแล้ว 15-16 สาขา ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม ปี 2568 มีมีสาขา 183 สาขา และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 สาขาในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีการรีโนเวทร้านที่สาขาซีคอนสแควร์ในช่วงสิ้นเดือนนี้ เพื่อปรับปรุงบรรยากาศและประสบการณ์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
สำหรับการปิดสาขาบางแห่งนั้น เป็นไปตามกลยุทธ์ปกติของธุรกิจ โดยมี 2 ปัจจัยหลักคือ กรณีที่สัญญาเช่าหมดอายุและไม่ต่อสัญญา หรือกรณีที่สาขาตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ไม่มีทราฟฟิก (จำนวนลูกค้า) ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม การปิดสาขาเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการเติบโตและทิศทางของแบรนด์
ชาบูชิยังคงมองว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่ม Young Gen หรือกลุ่มคนอายุ 20-40 ปี เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการประสบการณ์ที่ดีและความคุ้มค่าในการรับประทานอาหาร แม้ภาพรวมตลาดชาบูและฮอตพอทยังคงเผชิญความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ แต่ด้วยกลยุทธ์การรีเฟรชแบรนด์ การมุ่งเน้นคุณภาพ และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ชาบูชิมั่นใจว่าจะยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในใจผู้บริโภคต่อไป