นายศุภโชค บำรุงพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (SNNP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1/2568 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568) มีรายได้รวม 1,496.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.6 ล้านบาท หรือเติบโต 2.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 171.6 ล้านบาท เติบโต 10.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ภาพรวมธุรกิจไตรมาสที่ 1 ปี 2568 พบว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในปี 25668 จากผลกระทบของนไขบาย Trump 2.0 ซึ่งจะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และกีดกันการค้าให้รุนแรงขึ้น แต่มีแรงพยุงจากการใช้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินของประเทศต่าง ๆ เพื่อประคองเศรษฐกิจ ทำให้มีการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 2.5% แต่จากการขึ้นกำแพงภาษีที่รุนแรงของสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ทำให้มีการปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่เหลือ 2.2%
ในขณะที่เศรษฐกิจอาเซียนจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องนำโดยเศรษฐกิจเวียดนามและฟิลิปปินส์ ที่โดดเด่นจากการบริโภคภาคครัวเรือน การส่งออกและการลงทุน ตามด้วยเศรษฐกิจมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ยังคงขยายตัวและการลงทุน
ขณะเดียวกันในช่วงต้นปี 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 3% จากแรงหนุนของการบริโภคภาคเอกชน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจลงเหลือ 1- 2% จากแรงกดดันการส่งออกและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว
แม้เผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ บริษัทมีการเติบโตของยอดขายอย่างแข็งแกร่งโดยมีรายได้จากการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 รวม 1485.5 ด้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 เมื่อเทือบกันไตรมาสที่ 1,2567 จากยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโดของสินค้าในกลุ่มแบรนด์เบนโตะ โลตัส และเมจิกฟาร์ม รวมถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นของยอดขายต่างประเทศ หลังการปรับแผนกลยุทธ์และการปรับปรุงการกระจายสินค้าใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2567
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายลดลง 7.9% ซึ่งเป็นไปตามฤดูการจัดจำหน่ายที่มักจะสูงที่สุดในไตรมาสที่ 4 และลดลงใน ไตรมาสที่ 1
บอกจากนี้ บริษัทมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพจากการนำหลักห่วงโซ่อุปทานมาใช้ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบ เช่น เนื้อปลาเบนโตะและหนังไก่โลตัส บรรจุภัณฑ์ของเจเล่ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีกำไรขั้นต้นสูง เช่น เจเล่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงยอดขายจากช่องทางการค้าแบบดั้งเดิมที่มียอดขายเพิ่มขึ้นขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นและส่งผลให้กำไรขั้นต้นโดยรวมเพิ่มขึ้นตามลำดับ
บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ ("กำไรสุทธิฯ") ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 170.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาท หรือ 1.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2567 และเพิ่มขึ้น 12.8 ล้านบาท หรือ 8.2% เมื่อเทียบกับใครมาลที่ 1 ปี 2567 จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น