ภาษีสหรัฐฯ ดันตลาดอาหาร "เอเชีย-อาเชียน" ดีมานด์พุ่ง ชี้แนวโน้มเติบโตสูง

28 เม.ย. 2568 | 19:02 น.
อัปเดตล่าสุด :28 เม.ย. 2568 | 21:02 น.

กำแพงภาษีสหรัฐฯ ดันดีมานด์ผู้ประกอบการธอุตสาหกรรมอาหาร สนใจตลาดเอเชียและอาเซียนมากขึ้น ชี้งาน Food ingredients Asia Thailand 2025 และงาน Vitafoods Asia 2025 ในไทยยอดจองพุ่ง โดยเฉพาะจากจีน

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้า ก็ส่งผลกระทบต่อสงครามการค้าในปัจจุบันทันที ทำให้ผู้คนทั่วโลกตื่นตระหนก แม้จะชะลอภาษีในอัตราสูงกับชาติที่ไม่ตอบโต้เป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจารวมถึงประเทศไทย ก็ยังส่งผลกระทบกับหลายอุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมอาหารถือว่าได้รับผลกระทบไม่น้อย แต่ความต้องการ Food Ingredient หรือส่วนผสมที่นำไปใช้ในอาหารยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง 

ตลาดอาหารในเอเชียนสัญญาณดี

ผู้ประกอบการไทยหลายรายมองว่าดีมานด์อาหารกระป๋องจะเพิ่มขึ้น เพราะผู้บริโภคในสหรัฐฯกำลังเริ่มกักตุนอาหาร ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็พยายามลดต้นทุนเพื่อผลิตสินค้าอาหารส่งเข้าไปในสหรัฐอเมริกาให้ได้เช่นเดิม ต่างจากบางประเทศที่เริ่มหนีจากความยากลำบากในการทำธุรกิจกับสหรัฐฯ หันมาสนใจกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian)

โดยสังเกตได้จากการจัดงานอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในฐานะผู้จัดงาน “ฟู้ด อินกรีเดียนท์ เอเชีย 2025” (Food ingredients Asia Thailand 2025) หรือ Fi Asia Thailand 2025 งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านส่วนผสมอาหารอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และ “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย 2025” (Vitafoods Asia 2025) งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสกัดและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย ที่จะจัดขึ้นในพื้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 นี้ 

เพราะยอดจองพื้นที่เต็มและดึงผู้ประกอบการจากหลายประเทศเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว ดีมานด์เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติตั้งแต่ก่อน "โดนัลด์ ทรัมป์" ประกาศเรื่องภาษี จุดสำคัญคือ เป็นงานในกลุ่มผู้ประกอบการจากเอเชียที่ยังคงมีทรัพยากร มีจำนวนประชากร และกำลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ที่ต่างหมุนเวียนจัดงานนี้ตลอด

ภาษีสหรัฐฯ ดันตลาดอาหาร "เอเชีย-อาเชียน" ดีมานด์พุ่ง ชี้แนวโน้มเติบโตสูง

"เรื่องภาษีภาษีจากสหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการต่างเฝ้ารอความชัดเจน และทำให้ยุโรปและจีนก็เริ่มจับจ้องมายังตลาดในเอเชีย โดยเฉพาะจีนที่มีความต้องการออกบูธในงาน Food ingredients Asia Thailand 2025 และงาน Vitafoods Asia 2025 มากขึ้น เพราะจีนเป็นประเทศที่ถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯสูงที่สุด ฉะนั้นจึงต้องหาตลาดที่สามารถขายสินค้าแทนการส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ แน่นอนว่าหนึ่งในเป้าหมายคือตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีไต้หวันและญี่ปุ่น ที่เริ่มสนใจตลาดนี้มากขึ้นเช่นกัน"

ชี้จุดอ่อนตลาดอาเซียนยังเติบโตช้า

นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้อ แต่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวตามความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศด้วย นอกจากนี้ยังต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป แม้สินค้าไทยจะเป็นหนึ่งในสินค้าของ Southeast Asian ที่มีแบรนด์ดิ้งคุณภาพ แต่จากจำนวนประชากรราว 630 ล้านคน ที่มีกลุ่มอาเซียนเป็นตลาดหลักกลับมีข้อเสียสำคัญ คือ ไม่มีจุดหลอมรวมมาตรฐานสินค้าเดียวกัน

เช่น หากอยากขายสินค้าเข้าอินโดนีเซียจะต้องจดทะเบียนสินค้าที่ผ่านมาตรฐานของอินโดนีเซียเท่านั้น หากอยากขายสินค้าไปยังตลาดมาเลเซีย ก็ต้องอยู่ในมาตรฐานสินค้ามาเลเซีย ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยา อาหาร หรือ คอสเมติก กฎระเบียบล้วนต่างกันซึ่งเป็นข้อเสียทำให้ตลาดอาเซียนเติบโตได้ช้า แม้มีความพยายามร่วมมือกันแต่เงื่อนไขบางอย่างไม่ง่าย เหมือนมีข้อจำกัดเพื่อการกีดกันทางการค้า เพราะทุกประเทศมองว่าต่างเป็นคู้ค้าและคู่แข่งกัน โดยเงื่อนไขนี้จะต่างจากการขายสินค้าในกลุ่มสินค้ามาตรฐานส่งออกยุโรป (EU) ที่มีมาตรฐานเดียวกัน 

ภาษีสหรัฐฯ ดันตลาดอาหาร "เอเชีย-อาเชียน" ดีมานด์พุ่ง ชี้แนวโน้มเติบโตสูง

"ข้อเสนอแนะในเรื่องธุรกิจอาหารสำหรับประเทศไทย คือ ต้องเพิ่มเทคโนโลยี เพิ่มการผลิต Food Ingredient ให้มากขึ้นโดยไม่ต้องนำเข้า เพราะจะช่วยเพิ่มการผลิตสินค้าด้วยตัวเองได้มากขึ้น ทั้งยังทำให้ขบวนการผลิตกลายเป็น Zero Waste ลดปริมาณขยะได้ อย่างสินค้าเกษตร เช่น เปลือกมังคุด เปลือกทุเรียน สามารถนำไปสร้างเป็น Food Ingredient ได้หมด นอกจากยี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้ แต่คนไทยยังไม่สนใจทำธุรกิจอาหารในส่วนนี้มากนัก ส่วนใหญ่มักนำเข้าและตั้งบริษัทเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย"

อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าหรือการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมทางด้านอาหาร เพราะถึงจะมีสงครามอย่างไรผู้คนก็ต้องกินต้องใช้ ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะซื้ออะไร เมื่อไหร่ เท่านั้นเอง

สิ่งสำคัญคือการปรับตัวของผู้ประกอบการ ที่ต้องปรับเริ่มเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี แม้กระทั่งการช่วงชิงตลาดในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งความยากอยู่ที่การเจรจาทางการค้าของภาครัฐ และตลาดที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทยในตอนนี้คือ ตลาดกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง (Middle east) และแอฟริกา ที่มีจำนวนคนมากและเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง