นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย (ปี 2567-2569) กล่าวว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจโลกสั่นสะเทือนจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ประเทศไทยถูกขึ้นภาษีถึง 37% คาดว่าจะกระทบกับภาคการส่งออกเกือบ 8.8-9 แสนล้านบาท โดยมีกำหนดการเจรจาก่อนมีผลบังคับใช้ 90 วัน หากเจรจาไม่สำเร็จและสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปทั่วโลก อาจคาดเดาได้ยากว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่นอนคือราคาสินค้าทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน ทั้งต้นทุนผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้ซื้อ ราคาขายปลีกก็จะสูงขึ้นด้วย
ขณะที่สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากเรื่องภาษีจากสหรัฐฯ ยังต้องพบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้เกิดความเสียหายทางโครงสร้างที่เห็นได้ชัดเพียงตึกเดียว แต่ก็เกิดผลกระทบทางอ้อมเป็นวงกว้างในด้านการท่องเที่ยว และคาดการณ์ว่า GDP น่าจะลดลงเหลือ 1-1.4% น้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้น 2.7-3%
โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ในปี 2567 ภาคค้าปลีกของไทยมีมูลค่าราว 4 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนมูลค่าใน GDP สูงเป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 16% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งประเทศ ซึ่งยอดขายภาคค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง เมื่อเทียบในช่วงปี 2567-2568 โตเฉลี่ย 3.4% (1.36 แสนล้านบาท) กับในช่วงปี 2565-2566 ที่เติบโต 5.9%
"ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น มีปัจจัยมาจากสงครามการค้า จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้กำลังซื้อหดตัวลง และสิ่งที่น่ากลัวคือปัญหาในภาคการส่งออก สินค้าจากประเทศที่ถูกสหรัฐฯขึ้นภาษี จะทะลักไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย จะมีสินค้าคุณภาพดีและคุณภาพต่ำทะลักเข้ามาทางตรงโดยการขายให้ไทย ส่วนทางอ้อมคือให้ไทยเป็นทางผ่านขายไปยังประเทศอื่น"
นายณัฐ กล่าวว่า ในปี 2568 ทิศทางของธุรกิจค้าปลีกไทยจะชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัวช้า เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงกับแพลตฟอร์มค้าปลีกต่างชาติอย่าง E-Commerce ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีมากกว่า 3.3 ล้านราย ต้องเผชิญความเสี่ยง
โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ ที่เข้ามาผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน รวมถึงต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรง ต้นทุนโลจิสติกส์ ค่าพลังงาน และสาธารณูปโภค
ถึงกระนั้น ค้าปลีกยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ในการขับเคลื่อนภาคผลิต ภาคการบริโภค และภาคแรงงาน ตามเทรนด์ค้าปลีกถือว่าได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปมาก ดังนี้
ทั้งนี้ ประเทศไทยก็ต้องปรับตัวให้ได้เช่นกัน ด้วยกลยุทธ์ 3S (Shield Strike Shape) "ตั้งรับ รุกกลับ ปรับตัว" ดังนี้
1. ตั้งรับ (Shield) ด้วยการป้องกันสินค้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศและปราบปรามธุรกิจนอมินี
2. รุกกลับ (Strike) โดยทำการค้าเสรีและเป็นธรรม รวมทั้งดึงดูกนักท่องเที่ยวให้ช้อปปิ้งด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Instant Tax Refund) เช่น เสนอการนำร่องมาตรการ Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น
ใช้เขตปลอดภาษีสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Shopping Paradise Sandbox) โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง น้ำหอม โดยอาจเริ่มที่สินค้าอเมริกาก่อน และนำร่องทำแซนด์บ็อกซ์เป็นเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและเพิ่มศักยภาพให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของภูมิภาค
3. ปรับตัว (Shape) ลดทอนกฏระเบียบที่ล้าสมัยและซับซ้อน (Regulatory Guillotine) เช่น ใบอนุญาตเปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร และใบอนุญาตก่อสร้าง การสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย (Championing Thai SME) ส่งเสริมการมอบสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อการันตีคุณภาพอาหารไทยซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟต์เพาเวอร์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุน
ส่วนนโยบายหลักเพื่อขับเคลื่อนอนาคตค้าปลีกไทย สมาคมฯ เดินหน้านโยบายสำคัญภายใต้กรอบ “TRA GREAT” ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาภาคค้าปลีกไทยอย่างเป็นระบบในระยะกลางถึงยาว ประกอบด้วย 5 แกนสำคัญ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม นายณัฐ กล่าวว่า สินค้าแบรนด์ไทยถือว่ายังมีคุณภาพแต่ต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ปัจจัยต่างๆ อย่างเรื่องภาษีจากสหรัฐฯ ไม่ส่งผลกระทบมากจนเกินไป และต้องผลัดด้านการโปรโมทให้มากกว่านี้ ในขณะที่การทำแซนด์บ็อกหรือเขตปลอดภาษี (Free Trade Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต ทางสมาคมคาดหวังไว้ว่า จะเข้าไปพูดคุยกับกระทรวงการคลังภายในไตรมาส 2-3 ของปีนี้
"สิ่งสำคัญของประเทศไทย คือ พัฒนาสินค้าและบริการให้มากขึ้น สร้างการรับรู้ โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมิเดีย ใช้เทคโนโลยี ทำให้แบรนด์เป็นที่รับรู้ เพราะในเรื่องบริการเราถือว่าดีกว่าหลายประเทศ ที่สำคัญต้องพิจารณาแข่งขันกับประเทศอื่นในจุดที่ไทยสามารถทำได้ดี"