นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP กล่าวว่า ในภาพรวมของอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2567 นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 49,433 ล้านบาท หรือ +4.9% จากปี 2566 ซึ่งเม็ดเงินโฆษณาและกิจกรรมการตลาดจาก EUFA Euro และ Paris Olympic 2024 มาช่วยกระตุ้นความคึกคักของตลาดได้บ้าง
โดยเฉพาะโอลิมปิก ปารีส 2024 ที่เพิ่งจบไป สร้างความคึกคักจากเงินสนับสนุนถ่ายทอดจากสปอนเซอร์ได้เกินคาด โดย MI GROUP ประเมินเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดในไทยไม่ต่ำกว่า 500 ล้าน ทั้งสปอนเซอร์หลักและสปอนเซอร์รายย่อย ซึ่งผู้คนได้ให้ความสนใจจากการชมถ่ายทอดสดกีฬามากกว่าโอลิมปิกในครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็น แบดมินตัน เทควันโด ยกน้ำหนัก และมวย เป็นต้น
ขณะที่การจับจ่ายของผู้บริโภคยังซึมยาว ด้วยเหตุปัจจัยค่าครองชีพพุ่งสูง รายได้หดตัว แบรนด์สิงค้าต่างๆ อย่าง รถยนต์ เครื่องดื่ม สกินแคร์ สินค้าอุปโภคบริโภคยังไม่มีสัญญาณที่ดีเท่าไหร่ และโค้งสุดท้าย 4 เดือนก่อนจบปี 2567 ตั้งแต่เดือนกันยายน-ธันวาคม ยังคงซบเซาและไม่มีปัจจัยบวก
ทั้งนี้ หากไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการเมืองหรือเรื่องเศรษฐกิจ มีโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่รัฐบาลระบุว่าจะแจกให้กับประชาชนได้ใช้จ่ายในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ คาดเม็ดเงินโฆษณาทั้งปีจะปิดที่ 8,7617 ล้านบาท หรือ +3.3% จากปี 2566 โดยเติบโตจากสื่อดิจิทัลและสื่อนอกบ้าน (Out of Home Media)
อย่างไรก็ตาม นายภวัต เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ "คุณเศรษฐา" พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ไม่ได้ปั่นป่วนมาก แต่ความมั่นใจในด้านเศรษฐกิจหรือการขับเคลื่อนธุรกิจในช่วง 4 เดือนสุดท้ายแน่นอนว่าจะต้องสะดุด เป็นเหตุผลให้เม็ดเงินโฆษณาจากผู้ประกอบการ หรือแม้กระทั่งฝั่งผู้บริโภคจะยิ่งไม่มั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งล้วนมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ชัดเจน
"ทางเดียวที่จะช่วยให้สถานการณ์แย่น้อยที่สุดคือ ความชัดเจนในการตั้งรัฐบาลใหม่และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะหากมีช่วงสุญญากาศที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีหรือมีเพียงตำแหน่งรักษาการณ์จะทำอะไรมากไม่ได้ ตัวแปรคือการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ เรียกได้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัยลบที่เข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วให้แย่ลงกว่าเดิม"