แนวโน้มผู้บริโภคคนไทยในปี 2567 ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ Gen New และ Gen Now กลุ่ม Gen New จะเป็นผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ช่วงอายุระหว่าง 12-39 ปี รวม 25.5 ล้านคน คิดเป็น 44% ส่วน Gen Now จะเป็นผู้บริโภคกลุ่ม Gen X และ Baby boomer ช่วงอายุระหว่าง 40-55 ปีขึ้นไป รวม 33.1 ล้านคน คิดเป็น 57% ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกกลุ่มล้วนมีนัยสำคัญต่อนักการตลาดทั้งสิ้น
เพราะทั้ง 2 Gen ต่างมีความสนใจ ความมุ่งมั่นที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องของสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ กิจกรรมเพื่อสุขภาพ คำนึงถึงความยั่งยืนของธรรมชาติ และยอมรับความเท่าเทียมกันมากขึ้น และในหมู่คนอายุน้อยเชื่อว่าเงินคือ ตัวชี้วัดความสำเร็จ และมองว่าการเงินนั้นสำคัญ ผู้คนใน Gen New เริ่มมีวินัยการออมเงินที่ดีขึ้น คิดเป็น 53% เทียบกับในปี 2562 ที่อยู่ที่ 30% และนอกจากจะเก็บเงินได้ดีมากขึ้นแล้ว ยังมีการนำเงินไปลงทุนเกี่ยวกับสินค้าเชิงพาณิชย์และมีการวิธีการเก็บออมเงินที่ขั้นกว่าขึ้นไปอีกถึง 31%
ดังนั้น ความท้าทายของนักการตลาดในปี 2567 คือ นักการตลาดจะต้องวัดเทรนด์ผู้ชมจากหลากหลายที่ มากกว่า 2 แพลตฟอร์ม เพื่อเอาข้อมูลจากหลายๆ ช่องทางมารวมกัน และเพื่อที่เวลาจะนำโฆษณาไปลง จะได้รู้ว่าต้องลงโฆษณาตรงไหน อย่างไร ประกอบกับมีการร่วมมือกับหลายภาคส่วน เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงเพื่อให้เข้าใจผู้ชมมากขึ้น การทำ Cross Platform จะเป็นตัวช่วยให้เห็นว่าผู้ชมมีการรับชมสื่อช่องทางจากไหน คอนเทนต์แบบใดที่คนไทยชื่นชอบและอยากรับชม ระยะเวลาในการรับชมนานแค่ไหน เพื่อนำมาพัฒนาคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันได้ดีขึ้น
ขณะที่กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญในปี 2567 คือ การขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยข้อมูล หรือ Data-Driven Marketing ซึ่งเป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่แสดงพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงช่องการการเสพสื่อในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน ผ่านการทำ Target segmentation โดยพบว่าแบรนด์ที่เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึกมีโอกาสในการลดต้นทุนในการหาลูกค้าได้มากถึง 84% ต่อยอดสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ในขณะเดียวกันยังสามารถลดงบการตลาดให้ต่ำลง
นอกจากนี้พบว่ากลยุทธ์ขับเคลื่อนด้วย Data โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์พฤติกรรม เข้าถึงความต้องการที่แท้จริงตั้งแต่ก่อนซื้อ สามารถเพิ่มโอกาสสร้าง ROAS (Return on Advertising Spend) ผลตอบแทนจากค่า
โฆษณากลับมาได้ถึง 5 เท่า จากเดิมได้เพียง 2 เท่า ถือเป็น “มาร์เก็ตติ้ง ทรานส์ฟอร์เมชัน” ใช้เครื่องมือ MarTech ต่างๆ เพื่อนำข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดที่โดนใจลูกค้ามากขึ้น ด้วยงบประมาณที่น้อยลง และตอบโจทย์ธุรกิจต่างๆ โดยปลุกธุรกิจให้แข่งขันได้ผ่าน “มาร์เก็ตติ้ง ทรานส์ฟอร์เมชัน” มาใช้ในงานการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว
“ณัฐพล จิตงามพงศ์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายดาต้าและเทคโนโลยี บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด บอกว่า การขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยข้อมูล หรือ Data-Driven Marketing เป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่แสดงพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงช่องการการเสพสื่อในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน ผ่านการทำ Target segmentation แบรนด์ที่เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึกมีโอกาสในการลด
ต้นทุนในการหาลูกค้าได้มากถึง 84% ต่อยอดสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ในขณะเดียวกันยังสามารถลดงบการตลาดให้ต่ำลง
ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือ ต้องเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ผ่านการนำข้อมูล Search ของผู้บริโภค และ Social Trends , ต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลของผู้ที่มี Engagement กับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย โดยการเปลี่ยนข้อมูลการกดไลค์หรือคอมเมนต์ ให้กลายเป็นข้อมูล, จากข้อมูลที่แบรนด์มีอยู่แล้วสามารถนำมาสร้าง Lead เพิ่มได้แบบประหยัดอาจจะทำการสร้าง Content ที่เข้าถึงปัญหาหรือ ความสนใจของผู้บริโภค ตามกลุ่มลูกค้านั้นๆ บวกกับการทำ Marketing Automation
การใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมจากทุกช่องทางทั้ง Offline และ Online เพื่อนำมาใช้ทำ Customer Profile , การสร้างความพึงพอใจของลูกค้า และทำ CRM ด้วยข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าของแบรนด์ ได้รับประสบการณ์ที่ดี และ สร้างโอกาสในการซื้อซ้ำของลูกค้าเดิมให้มากขึ้น รักษาฐานลูกค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วการสื่อสารกับลูกค้าเก่า มีโอกาสในการเกิดยอดขายด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าการแสวงหาลูกค้าใหม่
“ข้อมูล” ยังเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนของนักการตลาด โดยเฉพาะเมื่อผนวกเข้ากับ “เทคโนโลยี” ซึ่งที่สุดแล้วผลลัพท์ 1+1 อาจไม่ใช่เท่ากับ 2 อาจจะเป็น 4 หรือ 10 ก็เป็นได้ ... หากรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,953 วันที่ 31 ธันวาคม 2566 - 3 มกราคม พ.ศ. 2567