“ไทยเบฟ” เปิดแผนปี 67 เดินหน้า “ธุรกิจคู่ความยั่งยืน”

03 ต.ค. 2566 | 09:32 น.

“ไทยเบฟ” เปิดแผนลงทุนปี 67 เดินหน้า “ธุรกิจคู่ความยั่งยืน” โชว์ผลประกอบการ 9 เดือนปี 2566 ทำรายได้ 215,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากการฟื้นตัวของผู้บริโภค

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยเบฟ เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ไทยเบฟมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ในการเสริมแกร่งให้กับตราสินค้าและสถานะในตลาดสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังที่ได้เห็นจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเรา

ไทยเบฟเดินหน้าธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบและความยั่งยืนเป็นสำคัญ โดยยึดมั่นขับเคลื่อนกลยุทธ์ “สรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน (Enabling Sustainable Growth)” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 กลุ่มบริษัทไทยเบฟมีรายได้จากการขาย 215,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ฐาปน สิริวัฒนภักดี

โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) อยู่ที่ 37,765 ล้านบาท ลดลง 3.4% อันเป็นผลจากปัจจัยโดยรวมทั้งในด้านรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งนี้ ไทยเบฟยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดอิสระที่ดี

การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการบริโภคในประเทศจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั้นถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน ไทยเบฟก็ตระหนักดีว่าแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจยังคงส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อไป

โดยธุรกิจสุรา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 กลุ่มธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 93,673 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ปริมาณขายรวมจะลดลง 3.5% จากปีก่อนก็ตาม โดยการขยายตัวของอัตรากำไรมาจากการขึ้นราคาสินค้าและการเปลี่ยนแปลงส่วนประสมของผลิตภัณฑ์จากการบริโภคสุราสีที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับธุรกิจสุราในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงธุรกิจในเมียนมามีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี

“ไทยเบฟ” เปิดแผนปี 67  เดินหน้า “ธุรกิจคู่ความยั่งยืน”

นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา กล่าวว่า ธุรกิจสุรายังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและผลกำไรที่มั่นคง ในประเทศไทย เราได้วางแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจตั้งแต่ก่อนที่ตลาดจะกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงการเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าหลักของเราอย่างรวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม และเบลนด์ 285 ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

โดยความพยายามดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มสามารถคงตำแหน่งผู้นำในตลาดสุราขาวและสุราสีไว้ได้ในประเทศเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ ยังคงรักษาตำแหน่งวิสกี้อันดับหนึ่งไว้ได้แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาด โดยเราคาดว่าอุปสงค์ต่อสินค้าและการเติบโตของธุรกิจจะยังคงดีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้

สำหรับตลาดต่างประเทศ บริษัทได้เดินหน้าขยายกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมและเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ ผ่านการเข้าซื้อธุรกิจลาร์เซน คอนญัก (Larsen Cognac) และคาร์โดรนา ดิสทิลเลอรี่ (Cardrona Distillery) โดยการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของกลุ่มในการเข้าสู่ตลาดคอนญักและตลาดสุราโลกใหม่ (New World Spirits) ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มตราสินค้าสุราที่เป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างมากของเรา

ด้านนายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า ธุรกิจเบียร์ในประเทศไทยมีการฟื้นตัว เนื่องจากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะที่ธุรกิจในเวียดนามยังคงต้องเผชิญความท้าทายจากปัญหาเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขายรวมเพิ่มขึ้น 0.7% เป็น 93,262 ล้านบาท แม้ว่าปริมาณขายรวมจะลดลง 5.2% ทั้งนี้ การลงทุนในตราสินค้า กิจกรรมทางการตลาด และแรงกดดันด้านการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบหลักและบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลง 19.8% เป็น 10,783 ล้านบาท”

“ไทยเบฟ” เปิดแผนปี 67  เดินหน้า “ธุรกิจคู่ความยั่งยืน”

ขณะที่นายทรงวิทย์ ศรีธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขยายการเติบโตของธุรกิจเบียร์ประเทศไทยและก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาด เรามุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Commercial Leadership Winning Brand Portfolio และ Cost Competitiveness

นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าผ่านกลยุทธ์ “Winning Brand Portfolio” และพัฒนาสินค้าที่โดดเด่นภายใต้ตราสินค้าช้าง ซึ่งเป็นตราสินค้าหลักของเรา โดยในปี 2562 กลุ่มได้เปิดตัว “ช้าง โคลด์ บรููว์” ซึ่งในปัจจุบันเป็น 1 ใน 5 ตราสินค้าเบียร์ที่มีปริมาณขายสูงสุดในประเทศไทย และเมื่อปลายปี 2565 ได้เปิดตัว “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” เบียร์พรีเมียม ซึ่งได้รับผลลัพธ์เป็นน่าพอใจจนถึงปัจจุบัน

“เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เราได้ดำเนินกลยุทธ์ “Cost Competitiveness” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การลดต้นทุนในการผลิตเบียร์ การจัดสรรทรัพยากรในห่วงโซ่อุปทาน การลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย และการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตซึ่งส่งผลให้มีอัตรายอดขายต่อจำนวนพนักงาน (Net Sales to Headcount ratio) ที่ดีขึ้น”

นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซาเบโก้ กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมการส่งออกและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม สร้างทีมขายมืออาชีพ และเสริมแกร่งกลุ่มตราสินค้า Winning Brand Portfolio โดยเราได้ดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับ Bia Saigon ในฐานะความภาคภูมิใจของเวียดนาม

ด้วยแผนงาน SABECO 4.0 ซึ่งได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซาเบโก้มั่นใจอย่างยิ่งว่าบริษัทจะสามารถยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในตลาด และบรรลุเป้าหมายระยะยาวของบริษัทได้ในที่สุด

สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 15.6% เป็น 14,822 ล้านบาท ซึ่งมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 8.7% ตามการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น โดยการดำเนินแผนงานเพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ช่วยชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้บางส่วนจากการลงทุนในตราสินค้า กิจกรรมทางการตลาด และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 1,773 ล้านบาท

นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้เร่งเดินหน้าขยายการเติบโต ภายใต้ 3 แนวทางสำคัญ คือ การสานพลังของแบรนด์ปั้นพอร์ตสุดแกร่ง (Brand Portfolio Management) การเร่งสปีดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในทุกมิติ (Speed for the Growth) และการเดินหน้าขยายตลาด (Expand to New Market)”

กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มุ่งมั่นที่จะสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ด้วยแนวทาง “การสานพลังของแบรนด์ปั้นพอร์ตสุดแกร่ง (Brand Portfolio Management)” เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกโอกาสและทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงรองรับกลุ่มผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างความผูกพันกับผู้บริโภค ผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลักของกลุ่ม

นอกจากนี้ เครื่องดื่มอัดลม เอส ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนตราสินค้าผ่านการพลิกโฉมครั้งใหญ่ เปิดตัวรูปลักษณ์ตราสินค้าใหม่และปรับสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง” นอกจากนี้ ยังได้คนดังในเอเชียจากหลากหลายวงการมาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อเพิ่มความสดใหม่ให้ตราสินค้าและสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่กล้าแสดงความซ่าอย่างมั่นใจในแบบของตนเอง

เพื่อขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน กลุ่มได้ดำเนินตามแนวทาง “การเร่งสปีดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในทุกมิติ (Speed for the Growth)” เพื่อขยายฐานผู้บริโภค เพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยการวางรากฐานและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต และการกระจายสินค้า นอกจากนี้ ไทยเบฟยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตที่ดีในภูมิภาคอาเซียน โดยกลุ่มมุ่งมั่นผลักดันตราสินค้าหลักของกลุ่มสู่ตลาดในภูมิภาคผ่านการดำเนินตามแนวทาง “การเดินหน้าขยายตลาด (Expand to New Market)”

“ไทยเบฟ” เปิดแผนปี 67  เดินหน้า “ธุรกิจคู่ความยั่งยืน”

ขณะที่จากการเพิ่มขึ้นของการบริโภคภายในร้านอาหาร ประกอบกับการขับเคลื่อนการดำเนินกลยุทธ์ของกลุ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความสามารถในการเจาะตลาดและเข้าถึงลูกค้า ส่งผลให้ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 19.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 14,296 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลง 8.4% เป็น 1,446 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค และต้นทุนค่าแรงงาน ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านใหม่

นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่การบริโภคภายในร้านอาหารในประเทศไทยมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีจากการที่ผู้บริโภคชาวไทยกลับมารับประทานอาหารนอกบ้านร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงกันอีกครั้ง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ในขณะนี้การบริโภคภายในร้านเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว ดังนั้นเราจึงใช้โอกาสนี้ในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจอาหาร ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาใหม่ และเพิ่มการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิม

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอาหารในปีนี้ คือ การเจาะตลาดให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มจำนวนสาขาร้านอาหารของกลุ่มบริษัทไทยเบฟ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงร้านอาหารและผลิตภัณฑ์โปรดได้โดยง่ายในทุกพื้นที่ ปัจจุบันไทยเบฟมีร้านอาหารทั้งหมด 771 ร้านในประเทศไทย โดยเปิดเพิ่มทั้งสิ้น 43 ร้านในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566

ไทยเบฟตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการเติบโตของยอดขายของร้านสาขาเดิมด้วยการรังสรรค์เมนูใหม่และจัดกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลายสำหรับทุกร้านอาหาร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการบ่อยครั้งขึ้น ในขณะเดียวกัน ไทยเบฟยังมุ่งมั่นเสริมสร้างพื้นฐานของธุรกิจอาหารให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านบุคลากร การดำเนินงาน เทคโนโลยี และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน