เงียบเหงาไป 2 ปีสำหรับบรรยากาศ Music Festival ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี แต่หลังจากโควิดคลี่คลายปีนี้เป็นปีแรกที่ Music Festival กลับมาจัดอีกครั้งและกลายเป็นน่านน้ำที่มีการแข่งขันสุดเดือดเพื่อแย่งชิงผู้ฟังที่อัดอั้นและโหยหายบรรยากาศสนุกสนานและเป็นกลุ่มที่กำลังซื้อสูง รวมทั้ง TVDH หรือทีวีไดเร็ค ซึ่งภายหลังการเข้ามาของผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ทำให้ธุรกิจอีเว้นต์ คอนเสิร์ต ที่ห่างหายไปนานถูกจับกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งภายใต้บิสิเนสใหม่ “บริษัท ทีวีดี เอ็กซ์ซูเซีย จำกัด หรือ TVD Exousia (TVDE)”
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH เปิดเผยว่า TVDH อยู่ในแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือความสามารถในการทำอีเวนต์ ในอดีตทีวีไดเร็คเคยจัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆก่อนจะหยุดไปหลายปี ล่าสุดทีมผู้บริหารได้คัด TVD Exousia ออกมาเพื่อดำเนินธุรกิจบันเทิงแบบครบวงจร โดยเริ่มจาก Music Festival สำหรับโปรเจ็คต์แรก บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัท ณัฐรัฐ โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ Retox Sessions เพื่อดึง ‘808 Festival’ กลับมาจัดอีกครั้งหลังจากหยุดไปเมื่อปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิด
“เราเห็นว่ากลุ่มคนที่จะสามารถฟังเพลงกลุ่มนี้ได้ก็คือกลุ่ม millennium ซึ่งการเติบโตของคนกลุ่มนี้มีนัยยะสำคัญมาก ถ้าเราสามารถสร้างMusic Festivalอย่างเป็นระบบได้ จะทำให้การ Build up ของธุรกิจเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ EDM ไม่ได้มีแค่แนวเพลงเดียวแต่มีหลากหลาย นั่นหมายความว่าในแง่ของธุรกิจสามารถที่จะแตกออกมาได้อีกหลายแขนงเหมือนกัน”
ในแง่ของเศรษฐกิจการท่องเที่ยว การจัด Music Festival จะกลายเป็นEventmark ที่สามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาล เช่นงาน ‘808 Festival’คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานราวๆ 19000 คนคาดว่าจะมีคนต่างชาติเดินทางเข้ามาร่วมงาน 30% หรือประมาณ4000- 5000 คนสำหรับสเกลงาน 20000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้จองตั๋วปกติแต่จะจองตั๋ว VIP ซึ่งมีราคาหลักแสนถึงหลักล้าน เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากค่าตั๋วที่ต้องจ่ายเชื่อว่าจะมีการใช้จ่ายอื่นระหว่างร่วมกิจกรรมเช่น โรงแรม 3-4 คืน การท่องเที่ยวในกรุงเทพและปริมณฑล ดังนั้นจะมีการใช้จ่ายหลักร้อยล้านที่จะเกิดขึ้นกับ Music Festival 1 งานในส่วนของชาวต่างชาติ
“ การร่วมมือครั้งนี้เรามีจุดมุ่งหมายที่ไม่ใช่แค่โปรเจ็คต์การลงทุน แต่เป็นการสร้างตลาด EDM ขึ้นมาเพราะเราเล็งเห็นว่าศักยภาพของ EDM เองกับกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทยและการที่จะสามารถดึงลูกค้าต่างชาติเข้ามาได้อีก ดังนั้นโปรเจ็คต์นี้เป็นโปรเจ็คต์ที่ได้ทั้งเรื่องของการลงทุนและชื่อเสียงของประเทศไทย
สำหรับความร่วมมือต่อจากนี้เรามีการพูดคุยกันว่าปีหน้าเราจะมีโครงการร่วมกัน 4 โปรเจ็คต์ แต่ต้องดูผลลัพท์ของ ‘808 Festival’ด้วยว่าประสบความสำเร็จหรือเฟลล์ ถ้าเฟลล์เราก็ยังจะทำต่อแต่ต้องเรียนรู้ว่าจะเสริมอะไร ทุกคนมีข้อดีมีความเก่ง มีความเฉพาะอย่าง ทางทีมณัฐรัฐ โฮลดิ้งส์ มีความเก่งในเรื่องของระบบ การจัดไลน์อัพ DJ โปรดักชั่น ส่วนเราดูเรื่องไฟแนนซ์และระบบอื่นๆที่จะมาเกื้อกูลกัน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจEDM”
นายอาสิทธิ์ ประชาเสรี ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ณัฐรัฐ โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้จัดคอนเสิร์ตและมิวสิกเฟสติวัลระดับโลก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับการจัดมิวสิคเฟสติวัล “808 Festival 2022” เทศกาลดนตรีระดับโลกแนว EDM ครั้งนี้เป็นการกลับมาจัดงานครั้งแรกในรอบ 2 ปี ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีจากแฟนคลับและขายบัตรคอนเสิร์ตไปกว่า 85% ของทั้งหมด
สำหรับปีนี้งานจะจัดขึ้นในวันที่ 9 – 11 ธ.ค.2565 ที่ ไบเทค บางนา โดยมีดีเจระดับโลกที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงและในระดับตำนานร่วมปล่อยพลังกว่า 20 ราย อาทิ Armin Van Buuren, DJ Snake, Illenium , Andrew Rayel และ Madeon ฯลฯ รวมถึงดีเจ Hardwell ที่กลับมาแสดงในภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
“เรามีrelationshipที่ดีกับศิลปินและดีเจระดับโลกมามากกว่า10 ปีตั้งแต่ศิลปินยังไม่ดัง จนเวลาผ่านไปตลาด EDM เติบโตขึ้นและกลายเป็น rock and roll ของ generation นี้ การที่เรามี connection จึงทำให้เราสามารถดึงศิลปินระดับโลกมาอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตของเราได้
สเกลใหญ่ที่สุดที่เราเคยจัดคือ 20,000 คน แต่ปีนี้เราสเกลไว้ที่ 19,000 หรือครึ่งหนึ่งของฮออล์ที่จุได้กว่า40000คนเพื่อให้เกิดสเปซขึ้นและมีซีเคียวริตี้การ์ดเดินทั้งงาน และพร้อมเข้าไปเคลียร์พื้นที่ในจุดที่มีคนหนาแน่นให้กระจายออกเพื่อป้องกันทั้งเพื่อความปลอดภัยและลดเสี่ยงจากcovid เพราะ 808 ระยะเวลาคอนเสิร์ตค่อนข้างนาน5-6 ชั่วโมง
สัดส่วนผู้ร่วมงานเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% หรือประมาณ 5,000 ส่วนมากจะเป็นชาวเกาหลีใต้ พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์และเวียดนาม แต่ที่แปลกคือปีนี้อเมริกาชูขึ้นมาเป็น top ten ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจมากเพราะอเมริกาไม่มีเที่ยวบินตรงมาที่ประเทศไทย นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าการเติบโตของจำนวนผู้ร่วมงาน 10% ทุกปี ซึ่งในอนาคตเราอาจจะต้องมีเวที เพิ่มแนวเพลงเพื่อดึงผู้ร่วมงานให้มากขึ้น”