กำลังซื้ออ่อนแอ ดัชนีค้าปลีกต.ค.65 โตแค่ 1.3 จุด

04 พ.ย. 2565 | 05:20 น.

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกเดือนตุลาคมโตแค่ 1.3 จุด แม้ได้วันหยุดยาวช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย แต่กำลังซื้ออ่อนแอ วอนรัฐเร่งคลอดมาตรการเยียวยาภาคครัวเรือน-ผู้ประกอบการ

ผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนตุลาคม 2565 จัดทำโดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกเดือนตุลาคมขยับเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนกันยายนโดยได้รับปัจจัยหนุนชั่วคราวจากจำนวนวันหยุดยาวสองช่วง มาช่วยชดเชยกำลังซื้อที่อ่อนแอ

 

อย่างไรก็ตามสถานการณ์อุทกภัยหลายพื้นที่ รวมถึงต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูง ค่าสาธารณูปโภค และการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกโดยคาดว่าดัชนี RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และเทศกาลปีใหม่ รวมถึงมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

กำลังซื้ออ่อนแอ ดัชนีค้าปลีกต.ค.65 โตแค่ 1.3 จุด

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกพบว่า ดัชนี RSI เดือนตุลาคมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนชั่วคราวจากจำนวนวันหยุดยาวที่มีมากกว่าเดือนกันยายน โดยมีการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยของยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending per Bill) ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency)               

 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาการบริโภคตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบห้างสรรพสินค้า, ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต, ร้านอาหาร ปรับเพิ่มขึ้น จากการแข่งขันด้านกลยุทธ์และราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายในเดือนที่มีวันหยุดยาว สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกำลังซื้อระดับบน

 

ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการร้านซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ปรับลดลง ตามสถานการณ์ฝนตกชุกและอุทกภัยในบางพื้นที่ บ่งบอกถึงผู้บริโภคกำลังซื้อระดับฐานรากในต่างจังหวัดยังอ่อนแอ 

กำลังซื้ออ่อนแอ ดัชนีค้าปลีกต.ค.65 โตแค่ 1.3 จุด

นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบอีกว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ปี 2563-2564) ธุรกิจ 61% ต้องลดระดับการจ้างงานลง สะท้อนถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดที่ค่อนข้างรุนแรง  ในขณะที่หลังการผ่อนคลายความเข้มงวด (ปี 2565) ธุรกิจกว่า 48.8% ยังไม่ฟื้นตัว ยังมีการจ้างงานในระดับต่ำกว่าเดิม 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด ภาครัฐควรต้องใส่มาตรการต่างๆ ทั้งการกระตุ้นการจับจ่ายและส่งเสริมธุรกิจให้ฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อเร่งกลไกเศรษฐกิจทั้งระบบให้พลิกฟื้นโดยเร็วอย่างตรงเป้าและต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “การฟื้นตัวของธุรกิจภาคการค้า” ของผู้ประกอบการ ที่สำรวจระหว่างวันที่ 14-22 ตุลาคม 2565 ดังนี้

 

1. ประเมินผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจ

ผลจากการขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กดดันให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น

34% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5%

49% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้น 5 – 10%

12% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้น 11 – 15%

4% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่า 15%

 

2. ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจจากการจ้างงาน

ธุรกิจ 61% ต้องลดระดับการจ้างงานในช่วงวิกฤตโควิดสะท้อนถึงผลกระทบจากโควิดค่อนข้างรุนแรง

ธุรกิจ 48.8% ยังไม่ฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายความเข้มงวด ยังมีการจ้างงานในระดับต่ำกว่าเดิม 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด

 

3. ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจ

ธุรกิจ 62% ประเมินว่ากำลังซื้อของปีนี้จะขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบปีที่ผ่านมา

ธุรกิจ 70% ประเมินว่ากำลังซื้อไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะขยายตัวดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา

ธุรกิจ 44% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือน

 

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ยังคงกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัว จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาให้กับผู้บริโภคทั้งระดับบนและระดับฐานราก อาทิ การนำมาตรการคนละครึ่ง หรือช้อปดีมีคืนกลับมาใช้อีกครั้ง

 

รวมถึงมาตรการบรรเทาผลกระทบของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการจ้างงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจ้างงานได้เพิ่มมากขึ้นเกิดการจ้างงานแบบยืดหยุ่น เช่น การจ้างงานรายชั่วโมง เป็นต้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

\