หมอบุญ มองขาด "โควิด" ดีขึ้น"เศรษฐกิจ-การเมือง" ยังอ่วม

30 ก.ย. 2565 | 03:04 น.

หมอบุญ เชื่อสถานการณ์โควิดในไทยฟื้นตัวดีแต่มีโอกาสระบาดซ้ำปลายปี มั่นใจคนไทยได้ฉีดวัคซีน mRNA เวอร์ชั่น2 แน่นอน ลุยปรับทัพ TMG ทำธุรกิจคู่การกุศล พร้อมฟันธงการเมือง “บิ๊กตู่” กลับมานั่งตำแหน่งนายก

ปัจจุบันสถานการณ์ของประเทศไทยมีหลายประเด็นที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เมื่อพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโควิด ปลดล็อคการเดินทาง ลดการตรวจATK และทำให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น ขณะเดียวกันยังต้องโฟกัสทั้งเรื่องการเมืองและมองไปข้างหน้าถึงเรื่องของการเลือกตั้งด้วย

นายแพทย์ บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด หรือ TMG

นายแพทย์ บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด หรือ TMG เปิดเผยผ่านรายการ THANTALK ถึงนัยยะของประเด็นมาตรการโควิด เศรษฐกิจ และการเมืองว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาตนได้คาดการณ์ว่า โควิด จะใกล้เคียงกับไข้หวัดสเปนที่ระบาดเมื่อ 100 ปีที่แล้วที่ทำให้คนติดเชื้อไปกว่า500 ล้านคน และเสียชีวิตประมาณ 80 ล้านคน จะหายไปหลังระบาดครบ 3 ปี เนื่องจากมนุษย์มีภูมิต้านทานและปัจจุบันไข้หวัดใหญ่ทำให้คนป่วยเหลือหลักหมื่นหลักพันคนทั่วโลกและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำ

 

ย้อนกลับไปในช่วงที่โควิดระบาดอย่างหนัก ประเทศไทยสามารถประกาศล็อกดาวน์แค่ครั้งเดียวได้ เพราะทุกอย่างขึ้นกับ “วัคซีน” หากประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนได้ภายในต้นปี 2564 ก็สามารถเปิดประเทศได้ภายในปี2564 เช่นกันแต่ตอนนี้ประเทศไทยเปิดประเทศล่าช้าไปหนึ่งปี

เดินหน้าขยายธุรกิจ ดันไทยฮับการแพทย์ l Special l THAN TALK

“แม้จะปลดล็อคให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้วแต่ประเทศไทยยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะประเทศไทยทรุดมาแล้วกว่า 10 ปีก่อนหน้าที่โควิดระบาด ถ้า GDP ประเทศต่ำกว่า 4 เราไม่สามารถสร้างงาน สร้างรายได้หรือทำให้คนรวยขึ้น เหตุผลสำคัญที่สุดคือโครงสร้างซึ่งทุกคนรู้หมดว่าปัญหาหนักที่สุดตอนนี้คือการเมือง


และยังมีเหตุการณ์ภายนอกที่เราไม่คาดฝันคือสงครามยูเครนกับรัสเซีย และความตึงเครียดของช่องแคบไต้หวัน รวมทั้งนโยบาย “zero covid” ของจีน ซึ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง แต่ก็ยังมีดีขึ้นบางส่วนเช่นการท่องเที่ยวที่ตอนนี้กลับเข้ามา 5.3 ล้านคนจากเมื่อก่อนที่ไม่มีเลย และหวังว่าถึงปลายปีนักท่องเที่ยวจะเพิ่มเดือนละ 1.5 ล้านคนเป็นประมาณ 10 ล้านคนแต่ก็ยังเท่ากับ 25% ของที่เคยมี”

โลกดวงซวย 3 ขั้วอำนาจทำป่วน

นายแพทย์บุญกล่าวต่อไปอีกว่า โลกดวงไม่ดีประเทศสหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีที่แย่มา 2 คน ขณะที่รัสเซียมีผู้นำที่ยกการเมืองทหารขึ้น และจีนชอบทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดของเผด็จการหลังจากวันที่ 1 ตุลาคมนี้ฮ่องกงเปิดประเทศจะมีการเดินทางของประชาชนจีนและหากโควิดกลับมาแพร่ระบาดจากการเดินทาง “zero covid” ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

 

ดังนั้นหากในเดือนพฤศจิกายนนี้หาก “สี จิ้นผิง” ได้เป็นผู้นำจีนสมัยที่3 จีนจะต้องผ่อนมาตรการ “zero covid” เพราะตอนนี้จีนประสบปัญหาอย่างมากใน 3 เรื่องคือ 1. GDP ขึ้นกับอสังหาริมทรัพย์ 30% ซึ่งกำลังเจอภาวะวิกฤตภายในจากปัญหาสินเชื่อ 2 .การเมืองที่มีความตึงเครียดระหว่างไต้หวันกับจีน เกาหลีและญี่ปุ่น 3. ค่าเงินหยวนที่ตกลง แต่ที่ลำบากที่สุดคือ “ล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้” ถึง 2 ครั้งและตอนหลังมีการ “ล็อกดาวน์ เฉิงตู” เพิ่มทำให้จีนเริ่มรับการกดดันไม่ไหวตามที่หลายฝ่ายเคยพูดว่าการ “ล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้” อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะเซี่ยงไฮ้เป็นหัวใจและปอดหลักของประเทศจีน เพราะฉะนั้นหลังจากที่ สี จิ้นผิง เข้าครองวาระที่ 3 อาจจะต้องมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์หรือมาตรการ zero covid ลง

 

TMG ปรับทัพครึ่งหนึ่งธุรกิจ ครึ่งหนึ่งการกุศล มั่นใจคนไทยได้ฉีดวัคซีนโควิด เวอร์ชั่น 2 แน่

กลับมาที่ประเทศไทย ทักษะที่ยังแข็งแกร่งอยู่คือ “Medical hub” เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา TMG ได้เปิดศูนย์บําบัดยาเสพติดที่จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการบำบัด 7 ราย ค่าใช้จ่ายแต่ละรายราว 600,000 บาท และจะขยายขอบเขตการรับผู้บำบัดเพิ่ม 20 รายในเดือนนี้ แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นทางด้านการแพทย์ของไทยยังดีอยู่ ดังนั้นทิศทางหลังจากนี้ TMG จะมุ่งเน้นเป็นเรื่อง wellness การบำบัดและการรักษา โดยปัจจุบันในส่วนโรงพยาบาลในเครือเริ่มมีทราฟฟิกเพิ่มขึ้นจากเดิม 30%

 

แต่ธุรกิจที่จะโตเร็วมากคือ wellness ซึ่งนักลงทุนจีนอยากเข้ามาร่วมธุรกิจกับTMG เพราะหลังโควิดคนสนใจเรื่องของสุขภาพมากไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การกินยาหรือกินอาหาร เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเพราะรู้ว่าวัคซีนช่วยได้บ้างระดับหนึ่ง TMG จึงใช้งบลงทุน 4,000 -5,000 ล้านบาทลงไปกับธุกิจนี้เพื่อเสริมกับTHG โดยขยายธุรกิจในฝั่งของเครื่องมือแพทย์ ยา และเทเลเฮลล์ต่างๆ รวมทั้งใช้ลงทุนในสปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม ซึ่งนักลงทุนจีนให้การสนับสนุนอย่างมาก

 

นอกจากนี้ TMG ยังสนับสนุนด้านการศึกษาโดยได้เซ็นสัญญากับอินเดียและสหรัฐฯในการเปิดสอนภาษาอังกฤษ 1 ล้านคนผ่านทางออนไลน์โดยเรียกเก็บค่าเรียนแค่ 100 บาท เพราะ ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางความรู้บนอินเทอร์เน็ตก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการอ่าน และ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ต่างชาติไม่เข้ามาในประเทศไทยเพราะคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

TMG ปรับทัพครึ่งหนึ่งธุรกิจ ครึ่งหนึ่งการกุศล มั่นใจคนไทยได้ฉีดวัคซีนโควิด เวอร์ชั่น 2 แน่

นอกจากนี้ หมอบุญ กล่าวถึงประเด็น กลต.สั่งห้ามไม่ให้ข่าวที่เกี่ยวกับTHG ว่า โดยส่วนตัวให้ความเคารพสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ โดยจะไม่แตะใน 3 เรื่อง คือความมั่นคง นโยบายต่างประเทศ และ เศรษฐกิจ แต่ตอนนี้ประเด็นทางเศรษฐกิจตนไม่เห็นด้วยใน 7-8 ประเด็นแต่จะไม่พูดเพราะกลต.เป็นสถาบันจะเสียหายไม่ได้เป็นอันขาดเพราะความเชื่อมั่นประเทศอยู่ตรงนี้ ดังนั้นตนยึดตามคำตัดสินที่ออกมาและอุทธรณ์ไปตามกระบวนการ แต่คำตัดสินของกลต.ไม่ได้ส่งผลกระทบกับตนมากเพราะ 80% ของธุรกิจอยู่ในต่างประเทศ และอยู่ในประเทศไทยแค่ 20% ดังนั้นจึงไม่ได้ทำให้ตนเดือดร้อน

 

และหลังจากนี้ TMG จะดำเนินงานใน 2 ส่วนคือครึ่งหนึ่งทำธุรกิจให้รอดและมีกำไร ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง TMG จะทำการกุศลโดยใช้รายได้จากธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจในเวียดนามและลาวซึ่งสัดส่วนกำไรเยอะ มาทำการกุศล ซึ่งปัจจุบัน TMG ได้ลงพื้นที่ฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนครบโดสฟรีถึงบ้านในพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลในเครือตั้งอยู่

 

“คนไทยตอนนี้กำลังตามหาวัคซีนเวอร์ชั่น 2 ซึ่งคนไทยจะได้ฉีดแน่นอน เพราะ mRNA เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เปลี่ยนง่าย ทำง่าย ไม่เหมือนเชื้อตาย คนแรกที่จะทำเวอร์ชั่น 2 คือไฟเซอร์และโมเดอร์นาซึ่งจะออกมาปลายปีนี้ เพราะตอนนี้ที่อเมริกาและอังกฤษมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยจะตามหลังประมาณ 2 เดือนทำให้ช่วงเดือนธันวาคมนี้หรือมกราคมปีหน้าไทยจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาวัคซีนตัวใหม่เข้ามารองรับ เนื่องจากว่าตอนนี้เราฉีดวัคซีนไปแล้ว 70%และติดเชื้อเองอีก 30% เพราะฉะนั้นเรียกว่า 99% ของคนไทยมีภูมิ”

 

หมอบุญ ฟันการเมือง "บิ๊กตู่" คืนตำแหน่ง แต่คนไทยไม่เอา “แลนด์สไลด์” 

 

นอกจากนี้ นายแพทย์บุญ แชร์มุมมองต่อการเมืองไทยว่า การเมืองกับเศรษฐกิจไม่ใช่แยกไม่ออกแต่การเมืองเป็น แฟกเตอร์ที่สำคัญมาก ที่ประเทศไทยไปได้ไม่ไกลเพราะ 90 ปีที่ผ่านมามีการแบ่งอำนาจระหว่างทหารกับนักการเมือง ประเทศไทยความยุติธรรม ความโปร่งใสเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไทยต้องดูงานเกาหลีที่อัยการสามารถจับประธานาธิบดีติดคุกได้ ความโปร่งใส ความเป็นธรรมจึงจะเกิดขึ้นในประเทศนี้

 

ดังนั้นหลังจากวันที่ 30 ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะไม่เป็นกับดักประเทศไทยเพราะฉะนั้น “ยังไงก็ได้” ถ้าบิ๊กป้อมรักษาการต่อ บิ๊กป้อมก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีไม่ก้าวร้าว 1 เดือนที่ผ่านแจกไปกว่า 2 แสนล้านบาท แต่โดยความเห็นส่วนตัวคิดว่า ลุงตู่จะกลับมานั่งตำแหน่งแต่จะกลับมาได้แค่ 2 ปีด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่ compromises ที่สุด เพราะศาลจะไม่ตัดสินสิ่งที่ทำให้ประเทศเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ตัดสินเรื่องของนิติศาสตร์อย่างเดียวแต่ยังตัดสินในมุมของรัฐศาสตร์และสังคมควบคู่ขนานกันไปด้วย เพราะฉะนั้นจึงมีนัยยะให้บิ๊กตู่กลับเข้ามานั่งตำแหน่งต่อ

 

“ตอนนี้เราเหลือที่พึ่งสุดท้ายคือศาล เพราะฉะนั้นศาลตัดสินมาอย่างไรทุกคนต้องยอมรับในกติกานั้น ย้อนกลับไปตอนที่นายกตู่ขึ้นมามีอำนาจ บอกจะกำจัดเรื่องความแตกแยกแต่ที่ไหนได้ความแตกแยกกลับมากขึ้น ถ้าจะเป็นเผด็จการที่คนยอมรับ ต้องเป็นเผด็จการเหมือนลี กวนยู หรือ สี จิ้นผิง ที่สามารถเอาคนทุจริตเข้าคุกได้เป็นล้าน แต่บ้านเรารอหลักฐานจนหมดอายุความ และอีกประเด็นคือบ้านเราตอนนี้สื่อโดนซื้อหมด แล้ว เมื่อก่อน 7 เสือของสื่อมีความเห็นออกมายังไงทั่วประเทศตามหมด สื่อต้องมีหน้าที่เป็นกระจกเงาเพราะโดยมากคนกลัวเงาตัวเองโดยเฉพาะบิ๊กตู่ที่กลัวเงาตัวเองมากที่สุด ส่วน “แลนสไลด์” เมืองไทยไม่ชอบผูกขาดคนกรุงเทพฯไม่เอาอะไรที่รุนแรงและผูกขาด”

APEC 2022 Thailand

ไบเดนไม่ร่วมเอเปคดับฝัน sentiment สปอตไลท์ไทย

 

ส่วนการประชุมเอเปคที่เป็นสปอตไลท์ของไทยอยู่ตอนนี้มีสัญญาณออกมาชัดเจนที่สุดว่าอเมริกาโดย ”โจ ไบเดน” จะไม่เดินทางเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพราะไบเดน กลัวว่าหากรัสเซียกับจีนรวมหัวกันจะมีเสียงข้างมากหากสนับสนุนนโยบายที่ออกมา หรือในการประชุมมีมติอะไรออกมาก็ตามหาก ไบเดน เข้าร่วมประชุมเองจะกลายเป็นการ commitment และสหรัฐจะแย่ทันที ไบเดนจึงดึงอำนาจกลับไปอยู่ที่ white house ไม่ว่ามติอะไรออกมาก็สามารถเฉไฉไม่ยอมรับได้เพราะไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะฉะนั้น sentiment สปอตไลท์ที่จะฉายมาที่ไทยอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เพราะประเทศไทยตัวเล็กนิดเดียว ต่างประเทศมองประเทศไทยไม่สำคัญ เพราะฉะนั้นความคาดหวังว่าประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเอเปคแล้วจะยกประเทศขึ้นมาในฐานะเจ้าภาพและมีกิจกรรมความสำเร็จเกิดขึ้นก็ลดระดับลงมา

 

“เมื่อก่อนในการประชุมเอเปค เมืองไทยมีคนที่เก่งทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ถูกเชิญออกไปพูด แต่ตอนนี้บริบทของไทยลดลงเพราะการเมืองคนไม่มีคุณภาพคนไทยต้องไปนั่งข้างหลัง เขาเชิญกัมพูชา อินโดนีเซียออกมาพูด เอกชนเมืองไทยมีความแข็งแรงสามารถไปไกลได้กว่านี้อีกถ้าไม่มีรัฐบาลหรือการเมืองไทยดึงเอาไว้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะพรรคการเมืองในเมืองไทยใหญ่และไม่สามารถแก้ได้”

 

นอกจากนี้หมอบุญยังกล่าวทิ้งท้ายว่า การเมืองกับเศรษฐกิจมีความเกี่ยวพันกัน ตอนนี้ประเทศไทยมี GDP เป็นอันดับสุดท้ายของอาเซียน ถ้าปีนี้ประเทศไทยสามารถทำ GDP ได้3.5 ก็จะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ตอนนี้ไทยมีGDP 1.8 และปีนี้อาจจะโตได้ 3 และหวังว่าปีหน้า GDP จะขึ้นไปถึง 4 แต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะขึ้นอยู่กับหลายสถานการณ์เช่นจีนจะฟื้นตัวแค่ไหนและค่าเงินบาทจะไปถึงจุดไหน เพราะแม้เงินบาทอ่อนจะทำให้ส่งออกดี แต่ไทยยังต้องอิมพอร์ตเยอะกว่า


“ตอนนี้เราขาดดุลการค้าและเงินสำรองขาดดุลมา 6 เดือนแล้ว และคาดว่าปีหน้าจะขาดดุล 6 แสนล้านบาทเฉพาะของภาครัฐ และขาดดุลของรัฐวิสาหกิจอีก 4 แสนล้านบาทรวมเป็น 1 ล้านล้านบาท ซึ่งอันตรายมากแบงก์ชาติและหน่วยงานอิสระต้องห้ามฟังการเมือง เพราะความมั่นคงเศรษฐกิจขึ้นกับความเชื่อมั่น 90% เรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง ตอนนี้เราเทน้ำหนักการลงทุนไปที่เวียดนามเป็นการลงทุนที่ใหญ่มากเพราะเวียดนามคนมีคุณภาพกว่าและการศึกษาดีกว่า ที่สำคัญที่สุดเวียดนามทำ FA กับทุกประเทศ แต่ไทยกลัวเรื่องที่ไม่ควรกลัวคือเกษตร เวียดนามขอเวลา 20 ปีในการปรับตัวทางด้านเกษตรเราเองก็ควรจะทำแบบนี้ เพราะชาวนาไทยมีกว่า 40% แต่มีรายได้แค่ 5% ของประเทศ แต่ถ้าทำแล้ว 20 ปีการเกษตรไทยยังไม่ดีขึ้นก็ต้องยอมถอย”