เบี้ยวจ่ายหนี้ กยศ. อาจมีความผิดอาญาฐานโกงเจ้าหนี้

13 ธ.ค. 2567 | 10:24 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ธ.ค. 2567 | 10:36 น.

กยศ. ชี้แจงความรับผิดเพิ่มเติมกรณีมีผู้ชักชวนผู้กู้ยืมเงิน เบี้ยวจ่ายหนี้และโอนทรัพย์สินหนีการบังคับคดี ระบุอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ฐานโกงเจ้าหนี้

ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อ้างตัวเป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. โพสต์รีวิวการบิดหนี้ กยศ. โดยชักชวนผู้กู้ยืมเงิน ไม่ให้ชำระหนี้คืนและโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดีนั้น 

ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

กยศ. ขอย้ำเตือนว่าการเบี้ยวหนี้โดยโอนทรัพย์สินไปให้ผู้อื่นโดยมีเจตนาไม่ให้ กยศ. ได้รับชำระหนี้นั้น นอกจาก กยศ. จะสามารถยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอเพิกถอนการโอนทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 แล้ว ผู้กู้ยืมเงินยังอาจมีความรับผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ 

ทั้งนี้ มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 

ซึ่งกำหนดว่า “ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” 

นอกจากนี้ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกในการกระทำความผิดย่อมเข้าข่ายผู้สนับสนุนซึ่งจะมีความผิดและได้รับโทษทางอาญาเช่นกัน โดยที่ผ่านมามีผู้กู้ยืมเงินได้ดำเนินการดังกล่าว ซึ่ง กยศ. ได้มีการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ไปแล้วกว่า 40 ราย

”กยศ. ขอย้ำว่า กยศ. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ในการให้โอกาสทางการศึกษาและประชาชนผู้ขาดแคลนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เงินทุกบาทที่ผู้กู้ยืมเงินนำมาชำระหนี้จะส่งต่อถึงนักเรียนนักศึกษารุ่นต่อไปเพื่อให้มีโอกาสทางการศึกษาเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงขอให้ผู้กู้ยืมเงินมีจิตสำนึกในการชำระหนี้คืนในทันทีที่มีโอกาส เพื่อให้เงินทุกบาทตกทอดแก่นักเรียน นักศึกษารุ่นต่อไป ซึ่งอาจเป็นบุตรหลานหรือญาติพี่น้องของท่าน”