วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรมีระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 8 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบของธุรกิจและทุนข้ามชาติผิดกฎหมายต่อเศรษฐกิจไทย และวิธีป้องกันแก้ไข เสนอโดยนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โดยระบุว่า การเข้ามาของธุรกิจและทุนข้ามชาติผิดกฎหมาย ก่ออันตรายต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างน้อย 5 ประการ คือ
ประการที่ 1 ธุรกิจไทย โดยเฉพาะขนาดกลางและเล็ก ธุรกิจในท้องถิ่นแข่งขันกันยาก เสี่ยงปิดกิจการ ล้มหายตายจากในที่สุด
การประกอบธุรกิจโดยต่างชาติมีข้อได้เปรียบเหนือผู้ประกอบการท้องถิ่นในประเทศหลายข้อ ทั่งในแง่เงินทุนที่มีมากกว่า และเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนกันได้ดีกว่า ยกตัวอย่างกรณีทุนมากกว่า เช่น ร้านอาหาร ที่ทุนต่างชาติสามารถลงทุนขนาดใหญ่ ตกแต่งทันสมัย รองรับนักท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะจำนวนมากได้
ขณะที่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในท้องถิ่น มีความพร้อมด้านเงินทุนน้อยกว่า ส่งผลให้แข่งขันได้ยาก ถูกแย่งลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ หรือกรณีเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนกันได้ดีกว่า เช่น ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ธุรกิจโดยทุนต่างชาติ สามารถสนับสนุนกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
เช่น ตั้งแต่บริษัทนำเที่ยวที่เป็นของธุรกิจต่างชาติพานักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ส่งนักท่องเที่ยวไปพักในโรงแรมของทุนต่างชาติ ไปรับประทานอาหารในภัตตาคารของทุนต่างชาติ เดินทางในประเทศโดยขนส่งของทุนต่างชาติ ซื้อของที่ระลึก จับจ่ายใช้สอยทุกเรื่องในธุรกิจของทุนต่างชาติ
สถานการณ์เช่นนี้ เสี่ยงทำลายความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่มีความพร้อมด้านเงินและเทคโนโลยีต่ำกว่า
ประการที่ 2 กระทบการจ้างงานแรงงานไทย
สถานการณ์นี้พบได้ในร้านอาหาร ธุรกิจต่าง ๆ โรงงาน ที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมาก แรงงานเหล่านี้จำนวนมากทำงานโดยไม่ได้รับวีซ่าอนุญาตให้ทำงาน บ้างใช้วีซ่านักท่องเที่ยวหรือนักเรียน ตลอดจนมีการเปิดสถานศึกษาบังหน้าเพื่อใช้ในการทำวีซ่านักเรียนให้คนต่างชาติที่ต้องการอยู่ในประเทศไทย หากปล่อยให้สถานการณ์นี้รุนแรงขึ้น ธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมายขยายตัวมากขึ้น เสี่ยงกระทบแรงงานไทยในระยะยาว
ขณะที่แรงงานไทยถูกแย่งงาน หางานยากขึ้น จำนวนแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละท้องที่ ยังทำให้ทรัพยากรในประเทศหรือในท้องที่นั้นถูกแย่งชิง กระทบค่าครองชีพคนไทย
ตัวอย่างเช่น ในภาคอสังหาริมทรัพย์รายย่อย มีข้อมูลรายงานโดยศูนย์อสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ว่า ช่วงเดือนมกราคม-กันยายน พ.ศ.2566 มีชาวต่างชาติซื้อห้องชุดคิดเป็น 23.3 % ของการโอนห้องชุดของทั้งประเทศ คิดเป็นไม่น้อยกว่า 10,703 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 52,259 ล้านบาท หรือบางโครงการหมู่บ้าน ในกรุงเทพมหานคร ที่ปรากฏมีคนต่างชาติอาศัยมากกว่าครึ่ง
ประการที่ 3 กระทบศักยภาพในการแข่งขันระยะยาวของประเทศ
การเข้ามาแข่งขันของทุนต่างชาติผิดกฎหมายที่ได้เปรียบกว่าทั้งเงินทุน เทคโนโลยี และเครือข่ายทำให้ระยะยาวผู้ประกอบการไทยอยู่ยาก กระทบการลงทุน การจ้างงาน และศักยภาพในการแข่งขันของภาคเอกชนไทย ความร้ายแรงของปัญหาคือ ยิ่งสถานการณ์นี้ลุกลามไปในสู่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใด ๆ ของไทยมากขึ้น ก็จะมีจำนวนผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น
ประการที่ 4 กระทบการจ่ายภาษี และการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
ในมิติหนึ่งกระทบรายรับภาษีที่รัฐจะเก็บได้ ในอีกมิติหนึ่ง ยังสร้างความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกัน แต่จ่ายภาษีครบถ้วน ทำให้มีต้นทุนสูงกว่า
ประการที่ 5 ก่อปัญหาร้ายแรงอื่น เช่น ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาอาชญากรรม ตลอดจนกระทบภาพลักษณ์ประเทศ
เพราะทุนต่างชาติผิดกฎหมายจำนวนมาก มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง บ้างมีส่วนปล่อยปละละเลย บ้างมีส่วนได้รับผลประโยชน์ ปัญหาทุนต่างชาติผิดกฎหมายหรือเสี่ยงผิดกฎหมายจึงตอกย้ำปัญหาคอร์รัปชั่นในไทยให้รุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ทุนต่างชาติผิดกฎหมายจำนวนมากยังสัมพันธ์กับปัญหาสังคมและอาชญากรรมอื่น ๆ เช่น พนันออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์หลอกลวง ทำวีซ่าผิดกฎหมาย ค้ามนุษย์ ลักพาตัวนักท่องเที่ยว ผู้มีอิทธิพลต่างชาติ (มาเฟีย) หากปล่อยให้สถานการณ์ทุนต่างชาติผิดกฎหมายขยายตัวหนักขึ้น นอกจากจะส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศแล้ว ยังส่งผลต่อปัญหาสังม อาชญากรรมอื่น ๆ รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศและเป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างคนไทยและคนต่างชาติที่พักอาศัยหรือประกอบกิจการในประเทศไม่ว่าจะถูกหมายหรือผิดกฎหมายด้วย
ทั้งนี้ มีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง สมควรนำมาศึกษาทบทวน ปรับปรุงให้เหมาะสมในการกำกับดูแลธุรกิจและทุนข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
พ.ร.บ.เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ.2542 พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว พ.ศ.2545
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องศึกษาผลกระทบของธุรกิจและทุนข้ามชาติผิดกฎหมายต่อเศรษฐกิจไทย เพื่อประเมินและออกแบบวิธีการแก้ไขและป้องกัน ครอบคลุมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติของเศรษฐกิจองค์รวม และจำเพาะในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งทบทวน ปรับปรุง กฎหมายให้มีความเหมาะสม ให้สามารถกำกับทุนข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ ขจัดทุนข้ามชาติผิดกฎหมาย เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการไทย ตลอดจนผู้ประกอบการต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย