“ไทยสร้างไทย”ขอโทษ “กัลฟ์”ปมกล่าวหาทำค่าไฟแพง

03 พ.ย. 2566 | 11:10 น.

พรรคไทยสร้างไทยขอโทษ “กัลฟ์” ปมกล่าวหาเป็นต้นตอทำค่าไฟแพง ชี้รัฐควรสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน

วันที่ 3 พ.ย. 2566 นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas ระบุว่า

วันนี้ผมได้มีโอกาสหารือกับนักวิชาการด้านพลังงานในประเด็นค่าไฟฟ้าที่ผมได้เคยแถลงข่าวออกไป เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ผมพบว่ามีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหลายส่วน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหาย และสร้างความเข้าใจผิดกับผู้อื่น เมื่อผมเข้าใจผิดก็อยากมานำเสนอทำความเข้าใจข้อมูลกับพี่น้องประชาชนให้ถูกต้องดังนี้ครับ

เรื่องที่ 1 ค่าไฟที่เราจ่ายกันนั้น ส่วนประกอบหลัก 70-80% มาจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยใช้ก๊าซจากทั้งหมด 3 แหล่ง ได้แก่ ก๊าซอ่าวไทย ก๊าซเมียนมา และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)

ในช่วงที่ผ่านมาที่ค่าไฟแพงนั้น เป็นผลมาจากค่าราคาก๊าซ LNG ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นจากสถาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน อีกทั้งก๊าซอ่าวไทยผลิตได้น้อยลงไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงมาทดแทน ถือเป็นการซวยซ้ำซวยซ้อน 

อีกเรื่องคือ กลไกการซื้อขายก๊าซในประเทศไทย หากทุกท่านได้ลองหาข้อมูลจะทราบว่า ในอดีตมีผู้นำเข้าก๊าซมาขายในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมายมีเพียงรายเดียว ส่งผลให้ไม่เกิดการแข่งขันด้านราคา  ราคาก๊าซจึงอาจถูกกำหนดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และอาจเกิดการผูกขาดไม่เป็นไปตามกลไกทางตลาด

แม้ในปี 2564 ได้มีหลักการให้เปิดตลาดเสรีให้เอกชนรายต่าง ๆ สามารถนำเข้าก๊าซมาขายในประเทศไทยได้ มองเผิน ๆ อาจเป็นผลดีที่จะเกิดการแข่งขันกันระหว่างเอกชนกันเอง และอาจทำให้ก๊าซที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูกลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าปรับลดราคาลงได้อย่างมาก 

แต่ความเป็นจริงแล้วเอกชนรายอื่น ๆ ที่ต้องการนำเข้าก๊าซก็ต้องทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแข่งขันทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับผู้นำเข้ารายเดิมได้ จึงเป็นเหตุผลว่า แม้จะเปิดเสรีแล้วก็ไม่สามารถทำให้ต้นทุนประเทศต่ำลงได้ ยังไม่รวมประเด็นท่อส่งก๊าซโรงแยกก๊าซธรรมชาติอีก ผมขอตั้งคำถามถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่เราต้องรื้อโครงสร้างในธุรกิจก๊าซเพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน

เรื่องที่ 2 คือ แผนประมาณการค่าซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ผมได้นำมาประกอบการแถลงข่าวนั้น เป็นเพียงข้อมูลการคาดการณ์อนาคตว่า จะมีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าใดบ้าง 

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ผมเข้าใจไปว่า โรงไฟฟ้าบางแห่งไม่มีการจ่ายไฟฟ้าเลย แต่ก็ได้รับค่าความพร้อมจ่าย หรือค่า AP แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรงไฟฟ้าที่ผมได้กล่าวถึงไปนั้น ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าในเครือกลุ่มบริษัท กัลฟ์ ได้มีการจ่ายไฟเข้าระบบของรัฐทุกเดือน และได้รับเงินอย่างถูกต้อง ไม่ได้เป็นไปตามแผนประมาณการค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. แต่อย่างใด  

อีกทั้งข้อมูลดังกล่าวยังไม่เคยได้แก้ไขให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและก่อให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลสาธารณะประชาชนสามารถเข้าถึงได้

ผมจึงอยากเสนอให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ เข้าใจผิดแบบผมอีก และผมต้องขอโทษ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ที่ก่อนหน้านี้ผมได้เคยออกมาแถลงข่าว ทำให้คนเข้าใจผิดว่า กัลฟ์มีโรงไฟฟ้าจำนวนมาก ได้รับเงินค่าความพร้อมจ่ายจากรัฐ โดยไม่ได้ผลิตไฟเลยสักหน่วยซึ่งมันไม่ได้เป็นความจริง แต่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและขาดการตรวจสอบข้อมูลที่ผมได้รับมาจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับบริษัท

เรื่องที่ 3  ปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกหันมาสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาดจำนวนมาก เพื่อช่วยลดโลกร้อน และช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้มีการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกและสอดคล้องกับเทรนด์โลกในราคารับซื้อเพียงแค่ 2 บาทกว่า ๆ ต่อหน่วย ถือว่าจะนำมาช่วยเฉลี่ยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของประเทศให้ต่ำลง  

แตกต่างจากสมัยก่อนที่การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็นการรับซื้อไฟฟ้าแบบให้เงินสนับสนุนเพิ่มหรือที่เรียก ค่าแอดเดอร์ ยาวนาน 7-10 ปี ในอัตราสูงถึง 6-8 บาท ต่อหน่วย ที่ค่อนข้างแพงรวมเป็นราคารับซื้อสุทธิ 9-12 บาท ต่อหน่วย 

ผมมีความเห็นว่า รัฐควรจะยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าที่มีค่าแอดเดอร์ เนื่องจากถึงแม้จะหมดค่าแอดเดอร์แล้ว ก็ยังได้รับค่าไฟแพงกว่าการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนในปัจจุบันซึ่งหลาย ๆ โรงไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากพลังงานสะอาด หรือ พลังงานบริสุทธ์ก็น่าจะคุ้มทุนกันไปนานแล้ว อีกทั้งเป็นสัญญาทาสที่ต่ออายุสัญญาได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดอายุสัญญาสร้างภาระให้ประเทศระยะยาว 

นอกไปจากนี้รัฐควรสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นในอนาคตเพื่อนำไฟฟ้าสะอาดราคาถูกมาช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน