สศช.เตือนระวัง “ฐานะการคลัง” ประเทศ ตีกรอบคุมขาดดุลรับความเสี่ยง

21 ก.ย. 2566 | 03:49 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2566 | 07:03 น.

สศช. เตือนเฝ้าระวัง “ฐานะการคลัง” ของประเทศ หลังครม.ไฟเขียวแผนการคลังระยะปานกลาง โดยมีแผนกู้เงินชดเชยขาดดุลรวม 2.857 ล้านล้านบาท แนะคุมการขาดดุล หาช่องว่างไว้รองรับวิกฤตในอนาคต

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 มีมติเห็นชอบ แผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับทบทวน ครอบคลุมตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567- 2570 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอ

โดยมีวงเงินงบประมาณรายจ่ายรวม 14,602,000 ล้านบาท รายได้นำส่งคลังรวม 11,745,000 ล้านบาท  โดยรัฐบาลยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่อง โดยมีแผนกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุลรวม 2,857,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับการรองรับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลด้านต่าง ๆ นั้น 

 

สาระสำคัญของแผนการคลังระยะปานกลาง

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของ ครม. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 โดยมีข้อสังเกตว่า แผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2567-2570 ที่ประมาณการการขาดดุลการคลังเฉลี่ย 3.46% ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 2.86% ต่อจีดีพี ในแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) ฉบับก่อนหน้า 

อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองและความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่มีต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย 

ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นเป็น เฉลี่ย 64.60% เทียบกับเฉลี่ย 61.52% ต่อจีดีพี ในแผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับก่อนหน้า ทำให้พื้นที่การคลังลดลง และอาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากภายปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ระบบเศรษฐกิจ การเงินโลกยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในเกณฑ์สูง 

ดังนั้น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสำคัญกับการลดการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ในระดับต่ำกว่าในแผนการคลังระยะปานกลาง รวมทั้งแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในการเพิ่มรายได้ และประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ตลอดจนจัดสรรงบประมาณเพื่อการชําระหนี้ให้มากขึ้น 

เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดแรงกดดันด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอต่อการรองรับความสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกต่อไป

 

สศช.เตือนระวัง “ฐานะการคลัง” ประเทศ ตีกรอบคุมขาดดุลรับความเสี่ยง

แผนการคลังระยะปานกลาง

สาระสำคัญของแผนการคลังระยะปานกลาง ที่ผ่านการเห็นชอบจากครม. แบ่งเป็น

1. สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ

ในปี 2567 คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัวอยู่ที่ 3.2% และ GDP Deflator อยู่ที่ 1.8% สำหรับปี 2568 คาดว่า GDP จะขยายตัวอยู่ที่ 3.6% และขยายตัวอยู่ที่ 3.4% ในปี 2569 - 2570 ในส่วนของ GDP Deflator ในปี 2568 - 2570 อยู่ที่ 2%

2. สถานะและการประมาณการการคลัง

ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2567 - 2570 โดยแยกเป็น ปี 2567 เท่ากับ 2,787,000 ล้านบาท ปี 2568 เท่ากับ 2,899,000 ล้านบาท ปี 2569 เท่ากับ 2,985,000 ล้านบาท และ ปี 2570 เท่ากับ 3,074,000 ล้านบาท 

ประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2567 - 2570 เท่ากับ แยกเป็น ปี 2567 เท่ากับ 3,480,000 ล้านบาท ปี 2568 เท่ากับ 3,591,000 ล้านบาท ปี 2569 เท่ากับ 3,706,000 ล้านบาท และ ปี 2570 เท่ากับ 3,825,000 ล้านบาท 

จากประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณ 2567 - 2570 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณ แยกเป็น ปี 2567 เท่ากับ 693,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.63% ต่อจีดีพี ปี 2568 เท่ากับ 692,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.43 ต่อจีดีพี ปี 2569 เท่ากับ 721,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.40 ต่อจีดีพี และ ปี 2570 เท่ากับ 751,000 ล้านบาท และ คิดเป็น 3.36 ต่อจีดีพี

ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับปีงบประมาณ 2567 -2570 แยกเป็น ปี 2567 เท่ากับ 64.00% ปี 2568 เท่ากับ 64.65% ปี 2569 เท่ากับ 64.93% และ ปี 2570 เท่ากับ 64.81%

 

สศช.เตือนระวัง “ฐานะการคลัง” ประเทศ ตีกรอบคุมขาดดุลรับความเสี่ยง