นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรม ได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 2566 โดยหนึ่งในธุรกิจที่มีความโดดเด่น คือ ธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปและเฉพาะทาง พิจารณาจากปริมาณการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ ทุนที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ และผลประกอบการตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้ง นำข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และบริบททางสังคมมาร่วมวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ พบว่า ธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปฯ เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตในหลายมิติ ซึ่งไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้นที่สนใจเข้ามาลงทุน แต่นักลงทุนทั่วไปก็สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะ 3 ปีที่ผ่านมา (2563 - 2565) ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปและเฉพาะทางมีผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปและเฉพาะทางดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 3,780 ราย คิดเป็น 0.44% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 18,033ล้านบาทของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร การลงทุนของคนไทย ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง
“การลงทุนของผู้ประกอบการในธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปและเฉพาะทางที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้นของผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นวัยที่เจ็บป่วยได้ง่าย ประกอบกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ ปัญหาความเครียด ล้วนส่งผลต่อสุขภาพของคน ทำให้อัตราการเจ็บป่วยของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ธุรกิจด้านสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์จึงเป็นที่ต้องการและมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีจำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในปี 2565 จำนวน 12,698,329 คน หรือ ร้อยละ 19.2 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ (66.09 ล้านคน)”
นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี 2559 -2563 โดยในปี 2563 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 26,751 ล้านบาท หรือ 6% จากปี 2562 ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในปี 2563 แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายด้านการเข้ารับการรักษา มากที่สุดจำนวน 255,883 ล้านบาท รองลงมา คือ ยาและเวชภัณฑ์ จำนวน 198,764 ล้านบาท และอุปกรณ์เครื่องใช้อายุรเวท จำนวน 7,598 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายด้านการเข้ารับการรักษามากที่สุดจึงเป็นปัจจัยเสริมให้ธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปและเฉพาะทางมีการจัดตั้งใหม่ เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ผู้ป่วยเลือกใช้บริการคลินิกทั่วไปและเฉพาะทาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสะดวกในการใช้บริการ เนื่องจากสามารถใช้บริการได้ในช่วงเวลาเลิกงาน หรือนอกเวลาราชการ การเดินทางที่สะดวก ตั้งอยู่ใกล้ชุมชน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน ประกอบกับเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพของคนในปัจจุบันที่ต้องการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรคเฉพาะทาง
นอกจากนี้ สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ มากขึ้น เช่น มลพิษทางอากาศ โรคติดต่ออุบัติใหม่ เป็นต้น อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างทั่วถึง ลดจำนวนการใช้บริการที่โรงพยาบาล จึงเกิดโครงการที่คลินิกเอกชนเข้าร่วมกับประกันสังคม คลินิกเครือข่ายของโรงพยาบาล คลินิกชุมชนอบอุ่น เป็นต้น ทำให้ประชาชนที่ใช้สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิบัตรทอง สามารถใช้บริการคลินิกได้ จากปัจจัยที่กล่าวมานั้นจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบธุรกิจคลินิกโรคทั่วไปและเฉพาะทางที่จะมีโอกาสเติบโตเพื่อรองรับความต้องการใช้บริการและอัตราการเจ็บป่วยในอนาคต