วิจัยกรุงศรี เผยบทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจ - อุตสาหกรรมปี 2566-2568 บริการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับใกล้เคียงปี 2562 โดยมีรายละเอียดพร้อมทั้งปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ดังต่อไปนี้
สำหรับปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจาก
กำลังซื้อผู้บริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี โดยการบริโภคภาคเอกชนจะเติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี และภาคท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ระดับ 22.7 35.3 และ 40.4 ล้านคน ในปี 2566-2568 ตามลำดับ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเหนี่ยวนำให้เกิดโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าและบริเวณใกล้เคียง การขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการเกิดขึ้นทำเลใกล้รถไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงเทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ (NEW GEN) ที่เริ่มนิยมบ้านแนวราบใกล้รถไฟฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติด ทั้งยังสอดคล้องกับผลสำรวจของ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study (กรกฏาคม 2565) ที่ระบุว่าผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (51%) มองว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
วิจัยกรุงศรีคาดว่าปี 2566-2568 การเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-8% ต่อปี โดยมีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เฉลี่ยที่ 9.7 หมื่นยูนิตต่อปี (เทียบกับระดับเฉลี่ย 1 แสนยูนิตในช่วงปี 2557-2562 ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19) สะท้อนจำนวนผู้ใช้บริการเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่จะเพิ่มขึ้นตามมา
ผู้บริโภคจะปรับพฤติกรรมมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อการเดินทางที่สะดวก รวดเร็วและมีความแน่นอนด้านเวลาในการเข้าสู่ใจกลางเมือง โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับระบบ Feeder ได้สะดวก อาทิ สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน) ที่เชื่อมต่อขบวนรถดีเซลรางชานเมืองที่สถานีชุมทางตลิ่งชัน (สถานีธนบุรี-ตลิ่งชัน-นครปฐม) และเชื่อมต่อสายสีน้ำเงินที่สถานีจรัญสนิทวงศ์ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีทองเชื่อมต่อสายสีเขียวที่สถานีกรุงธนบุรี และมี Feeder ข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้ทางเรือโดยสารสาธารณะ
นอกจากนี้ ปัจจัยเอื้อให้มีการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นมาจากปริมาณรถยนต์ใหม่ที่เข้าสู่ตลาดทุกปี โดยปริมาณรถยนต์สะสมใน BMR มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราความเร็วเฉลี่ยของรถยนต์ที่สัญจรทางถนนในช่วงเวลาเร่งด่วน (เช้าและเย็น) มีแนวโน้มปรับลดต่อเนื่องหรือทรงตัวในระดับต่ำ สะท้อนจากอัตราความเร็วเฉลี่ยของรถยนต์ที่สัญจรทางถนนในช่วงเวลาเร่งด่วนในปี 2554-2559 ที่โน้มต่ำลงทุกปี
ภาครัฐมีแผนขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่หรือส่วนต่อขยายซึ่งเชื่อมต่อเส้นทางเดินรถเดิม ทำให้มีจำนวนสถานีและระยะทางเดินรถหลากหลายมากขึ้นหรือไกลขึ้น จำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายเดิมจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามโครงข่ายการให้บริการที่จะเชื่อมต่อกันมากขึ้น หลังการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบของส่วนต่อขยายและรถไฟฟ้าสายใหม่
นอกจากนี้ การเร่งรัดจัดระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าได้สะดวก (Feeder เช่น เรือโดยสาร รถโดยสารประจำทาง ชัตเติลบัสและรถจักรยานยนต์รับจ้าง) จะเพิ่มความสะดวกและความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสาร โดยรถไฟฟ้าสายใหม่ที่มีแผนเปิดให้บริการในปี 2566-2568 ได้แก่
ผู้ประกอบการยังเร่งปรับตัวด้านความปลอดภัย โดยมีแผนนำระบบไร้เงินสด (Europay Mastercard and Visa contactless) เชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าในสังกัด รฟม.กับรถไฟชานเมือง เรือโดยสาร รถโดยสาร บขส.และ ขสมก. เพื่อจูงใจให้มีผู้ใช้บริการข้ามเส้นทางสะดวกมากขึ้น (คาดเปิดใช้ในปี 2566)
การที่ภาครัฐสนับสนุนนโยบายลงทุนขยายเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดเป็นระบบโครงข่ายที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด สะท้อนว่าผู้ประกอบธุรกิจบริการเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนมีโอกาสขยายการลงทุนได้อีกมาก โดยเอกชนผู้รับสัมปทานจะสามารถรับรู้รายได้จากบริการเดินรถ (รายได้ค่าโดยสาร และรายได้จากการซ่อมบำรุงรักษาระบบ) และบริการที่เกี่ยวข้องได้ต่อเนื่อง (รายได้จากสิทธิ์ในการเปิดให้เช่าใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ ได้แก่ ค่าโฆษณา ค่าบริการระบบติดต่อสื่อสาร และค่าเช่าพื้นที่) บริเวณสถานี ขบวนรถไฟฟ้าและพื้นที่โดยรอบ
ที่มาข้อมูล -ภาพ